ศุกร์ 6 ม.ค.2555--eFinanceThai.com :
เปิดโผ 8 หุ้นเด่นโค้งแรกปีมังกรทอง

          โบรกฯ เปิดโผหุ้นเด่น Q1/55 พบ BANPU-CPALL-KTB-SAT-SIRI-TISCO-THCOM-WORK น่าลงทุนมากที่สุด เหตุปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งแถม สามารถฝ่าฟันปัญหาจากการเกิดมหาอุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ไม่หวั่นผลงานไตรมาส 4/54 ออกมาไม่สวย ระบุยังมีลุ้นฟื้นตัวได้ในปี 55 ส่วนเป้าหมายของราคาหุ้นแต่ละบริษัทยังมี Upside สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 14% พร้อมทั้งควักกระเป๋าจ่ายเงินปันผลดี-สม่ำเสมอ เชื่อรองรับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ในระดับหนึ่ง
***บล.เกียรตินาคินเลือก BANPU-CPALL-KTB-SAT-SIRI-TISCO-THCOM-WORK เป็นหุ้นเด่น Q1/55
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าหุ้นเด่นที่ KKS Research ได้คัดเลือก เพื่อการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 แนะนำซื้อสะสมหุ้นของบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU,บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ,บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT,บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ,บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ,บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM และบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ซึ่งจัดว่าเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง สามารถฝ่าฟันปัญหาธุรกิจหลังจากเกิดมหาอุทกภัยได้อย่างรวดเร็ว โดยผลประกอบการในไตรมาส Q4/2554 น่าจะเป็นไตรมาสที่อ่อนแอที่สุดหลังจากนั้นจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นในปี 2555
          นอกจากนี้ยังประเมินเป้าหมาย SET Index ในปี 2555 ไว้ที่ 1,264 จุด โดย KKS Research ประมาณการเป้าหมายของ SET Index ในปี 2555 ผ่าน 5 ตัวแบบที่มีความเหมาะสมที่สุดในการเชิงกลยุทธ์และพื้นฐาน (Five-Method Valuation) ซึ่งพบว่าเป้าหมายของ SET Index ในปีนี้ที่ได้จากค่าเฉลี่ยของทั้ง 5 ตัวแบบอยู่ที่ 1,264 จุด ขณะที่กรอบความเป็นไปได้ในปีนี้จะอยู่ในกรอบ 1,150 จุด (ค่าจาก Implied P/BV Approach) ถึงระดับ 1,450 จุด (ค่าจาก Bottom-Up) ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ค่อนข้างให้น้ำหนักมากกับความเป็นไปได้ของเป้าหมาย SET Index ในปีนี้ที่ 1,264 จุด เนื่องจาก SET Index ที่ระดับดังกล่าวซื้อ-ขายที่ระดับ Forward P/E และ PEG ปีนี้ที่ 10.01 และ 0.54 เท่า ซึ่งยังคงต่ำกว่า (Discount) ค่าเฉลี่ยของ MSCI Asia Ex Japan ที่ 10.70 และ 1.08 เท่า อยู่ถึง 6.45% และ 50%
          ขณะเดียวกันยังคาดว่าดัชนีฯ มีโอกาสปรับลงก่อนในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะกลับมาขึ้นแรงกว่าในครึ่งปีหลัง ซึ่งผลกระทบจากการที่ SET Index ทำ New Low หลุด 930 จุดลงมาในปี 2554 ทำให้ SET Index เปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นรอบใหญ่ที่ SET Index วิ่งขึ้นจาก 380 สู่ 1,143 จุดในช่วง 3 ปีก่อนหน้า มาสู่กรอบของการพักฐานในระยะกลาง 6-9 เดือน (คาดเริ่ม ก.ย.54 -มี.ค.55 หรืออย่างช้า มิ.ย.55) ดังนั้นจึงประเมินว่ามีความเป็นได้ค่อนข้างสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะพักฐานอีกครั้งในช่วงตั้งแต่กลาง มกราคม-พฤษภาคม 2555 และเป้าหมายการพักฐานในรอบนี้จะอยู่ที่ไม่เกิน 950-850 จุดในกรณีปกติ และ 754 จุดในกรณีเลวร้าย ก่อนที่ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
          โดยที่ดัชนีฯ จะใช้เวลา 6 เดือนแกว่งตัวขึ้นไปที่ 1,150 จุด ในไตรมาสที่ 3/2555 และ 1,264 จุด ในไตรมาสที่ 4/2555 ตามลำดับ ทำให้กลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับปี 2555 คือการขายไปก่อนในช่วงต้นปี ในลักษณะ Short Against แล้วไปรอทยอยซื้อกลับในช่วงไตรมาสที่ 2/2555 เพื่อไปทยอยขายครึ่งหลังของปีนี้ที่เป้าหมาย 1,150 และ 1,264 จุด โดยคาดหวังผลตอบแทนในปีนี้ราว 25-30% พักฐานในช่วงมกราคม-พฤษภาคม 2555 ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่ามีความเป็นได้ค่อนข้างสูงที่ SET Index จะปรับตัวลงมาพักฐานหนักๆ อีกครั้งในช่วงตั้งแต่กลางมกราคม-พฤษภาคม 2555 และเป้าหมายการพักฐานในรอบนี้จะอยู่ที่ไม่เกิน 950-850 จุดในกรณีปกติ และ 754 จุดในกรณีเลวร้าย (ระดับค่าเฉลี่ย 10 ปี -1 SD ของ Historical P/E ที่ 7.52 เท่า) ซึ่งจะมีปัจจัยกดดันโดยประกอบด้วย 1.ปัจจัยจากยุโรปจะกดดันหนักในช่วงต้นปี้ ซึ่งประเมินว่าตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกในช่วงต้นปีนี้จะเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจาก Downgrade Momentum ของฝั่งยุโรป โดยในด้านของสถาบันการเงินมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารในยุโรปจะถูก Downgrade อีกครั้งในเดือน ม.ค.-ก.พ.2555 โดยเฉพาะของฝรั่งเศส อย่าง BNP Paribas, Societe Generale, Credit Agricole และ BPCE ที่จำเป็นต้องหาเงิน 4.8 หมื่นล้านยูโรมาชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในไตรมาสที่ 1 ขณะที่ในด้านของประเทศในยุโรปล่าสุด S&P ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่าจะรายงานผลการทบทวน Credit Rating ของ 15 ประเทศในยูโรโซนภายใน ม.ค.2555 ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีฝรั่งเศส และเยอรมันรวมอยู่ด้วย หลังจากที่ Fitch ระบุออกมาก่อนแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับ Credit Rating ของอิตาลี, สเปน, เบลเยียม, ไอร์แลนด์, สโลวีเนีย และไซปรัสลงในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2555 2.ผล Stress Test สหรัฐกดดันตลาด ปัจจัยใหญ่ในช่วงต้นปี 2555 คือผลจากการที่เฟดได้สั่งให้ 31 สถาบันการเงินใหญ่ของสหรัฐ ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำ Stress Test เพื่อประเมินผลกระทบต่อเงินกองทุนในปีนี้ ภายใต้สมมติฐานอัตราการว่างงานสหรัฐ 13%, ราคาบ้านในสหรัฐลดลง 21% และ GDP Growth สหรัฐติดลบ 8% ซึ่งคาดว่าผลการทดสอบจะออกมาในช่วง ม.ค.-ก.พ.2555
          3.ตลาดหุ้นสหรัฐมีสถิติไม่ดีเดือน ม.ค.-ก.พ. ในเชิงสถิติเดือน ม.ค.และก.พ. ไม่ใช่เดือนที่ดีของตลาดหุ้นสหรัฐนัก เนื่องจากตามค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปีของดัชนี S&P500 พบว่าเดือน ม.ค. และ ก.พ. เป็นเดือนที่มีระดับ “Winner Percentage” เพียง 60% และ 50% เท่านั้น ขณะที่โดยเฉลี่ยดัชนีจะปรับตัวลดลง 1.7% และ 1.1% ตามลำดับใน 2 เดือนนี้ 4.ผลกระทบจากน้ำท่วมจะชัดเจนในช่วงต้นปี 2555 ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะถูกกดดัน จากแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 2555 ด้วย หลังจากที่ KKI ประเมินว่าผลกระทบจากน้ำท่วมจะส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดย GDP Growth ของไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2554 และไตรมาสที่ 1 ปี 2555 จะลดลง 5.2% และ 7.2% ตามลำดับ 5.กองทุนและฝรั่งจะขายตาม Seasonal ในเชิงสถิติแล้วช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เดือน ม.ค. จะเป็นเดือนที่กองทุนในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ พร้อมใจกันขายสุทธิออกมาอย่างหนัก โดยเฉลี่ย 2.89 และ 8.76 พันล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ SET Index จะปรับตัวลงเฉลี่ย 5.08% โดยที่ในปีนี้ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าจะมีแรงขายจากกองทุน LTF ที่อายุครบ 5 ปี (เริ่มปี 2550 ราว 2 หมื่นล้านบาท) ออกมามากกว่า 4 พันล้านบาทใน ม.ค.2555 6.ปัจจัยขับเคลื่อนหุ้นขนาดใหญ่เริ่มลดลง ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าในช่วงต้นปี 2555 ความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ขนาดใหญ่ จะลดความน่าสนใจลง โดยที่กลุ่มพลังงานจะได้รับผลกระทบจากการขยายตัวที่ลดลงของเศรษฐกิจโลก กลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบจาก Margin ที่แคบลงและการขยายตัวของสินเชื่อที่ชะลอลง กลุ่มที่อยู่อาศัยยังคงต้องใช้เวลาในการกลับมาสดใสอีกครั้ง หลังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะกลุ่มมือถือราคาหุ้น ณ ปัจจัยพื้นฐานปัจจุบันเริ่มแพงแล้ว (ยกเว้นหุ้น TRUE) กลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งในช่วง มิ.ย.-ธ.ค. 2555 ซึ่งประเมินว่า SET Index จะกลับมาแกว่งตัวขึ้น หลังจบรอบการพักฐานในช่วงตั้งแต่กลางเดือน ม.ค.-พ.ค. 2555 แล้ว ซึ่งประเมินว่า SET Index จะใช้เวลา 6 เดือนแกว่งตัวขึ้นไปที่ 1,150 และ 1,264 จุดในไตรมาสที่ 3 และ 4 ได้
***บล.เกียรตินาคิน ชี้ราคา BANPU ไม่สะท้อนการเติบโตของกำไร
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าประเด็นข่าว Carbon Tax ในออสเตรเลียและข่าวสะพานล่มในอินโดนีเซีย กดดันราคาหุ้น BANPU ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งผู้บริหารบริษัทดังกล่าวยืนยันว่าข่าวสะพานล่ม ไม่กระทบยอดขายถ่านหินในไตรมาส 4/2554 รวมทั้งการเก็บภาษีคาร์บอนในประเทศออสเตรเลียจะไม่ทำให้ต้นทุนในการดำเนิน งานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2554 อ่อนตัวตามฤดูกาลจากธุรกิจไฟฟ้า แต่ธุรกิจถ่านหินยังแข็งแกร่ง คาดยอดขายในไตรมาส 4/2554 จะใกล้เคียง 7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นทั้ง yoy และ qoq ประเด็นดังกล่าวอยู่ในกรอบที่ฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการ ทำให้ยังเชื่อว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2554 จะอยู่ที่ 10,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5%yoy โดยฝ่ายวิเคราะห์ยัง Overweight กลุ่มพลังงานต้นน้ำโดยเฉพาะธุรกิจถ่านหินที่อุปสงค์ในภูมิภาคยังเติบโตอย่าง แข็งแกร่ง ทั้งจากภาคการผลิตไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนเชื้อเพลิงน้ำมันที่มีต้นทุนในการผลิตสูงกว่า ซึ่งประเมินการเติบโตของธุรกิจปี 2555 อย่างระมัดระวังที่ระดับ 3 - 5%
          ส่วน Low season ของถ่านหินในไตรมาสแรกของทุกปี จะไม่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/2555 จากการบริหาร Stock ที่ดี ขณะที่การรับรู้กำไรจากธุรกิจไฟฟ้าจะกลับสู่ระดับปกติ เชื่อจะเป็นกำไรปกติในไตรมาส 1/2555 เพิ่มขึ้น yoy และ qoq ขณะที่กำไรปกติปี 2555 ยังเติบโตจากการเริ่มผลิตในเหมืองใหม่ คาดยอดขายถ่านหินอยู่ที่ 47 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10% yoy ขณะที่ราคาขายจะใกล้เคียงปีก่อนที่ระดับ 96 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยปัจจุบัน BANPU ทำสัญญาขายไปแล้ว 20% ในราคา 100 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้เชื่อว่ากำไรจากการดำเนินงานปี 2555 จะเติบโตถึง 38% yoy อยู่ที่ 14,952 ล้านบาท ทั้งนี้แม้ว่า BANPU จะซื้อขายที่ระดับ PER และ PBV ใกล้เคียงกับหุ้นถ่านหินในภูมิภาค แต่มองว่า BANPU ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าจาก ROE ที่ 25% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มถ่านหินในภูมิภาคที่ 22% ซึ่งมองว่าราคาหุ้น BANPU ปัจจุบันยังไม่สะท้อนการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานในอนาคต ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงแนะนำซื้อหุ้นดังกล่าว
***บล.เกียรตินาคินระบุ CPALL ทนแรงกดดัน ศก.ขาลงได้ดี
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า CPALL เป็นหุ้นปลอดภัยสุด จากการหดตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2555 เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคต่อการซื้อสินค้าร้านเซเว่นฯ (Spending per ticket) ใช้เงินเฉลี่ย 55 บาท ต่ำกว่า BIG C และ MAKRO ที่มี Spending per ticket เฉลี่ยกว่า 1,000 บาท ประกอบกับการตัดสินใจซื้อสินค้าในร้าน เซเว่นฯ เน้นความสะดวกมากกว่าราคา ทำให้การเติบโตยอดขายสาขาเฉลี่ยของ CPALL จะถูกกระทบน้อยจากผลด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงมีจุดแข็ง Value Chain ที่ช่วยเพิ่มอัตรากำไรต่อเนื่อง ส่วนการเป็นผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ และมี Value Chain ที่แข็งแกร่งในสินค้ากลุ่มอาหารของกลุ่ม CP ทำให้สามารถเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มนี้ ซึ่งมี margin เฉลี่ยกว่า 30% สูงกว่าสินค้าอุปโภคอื่นๆ (non food) ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินสินค้ากลุ่มอาหารที่เพิ่ม 1% จะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ประมาณ 0.2-0.3% และจะเห็นผลชัดเจนกว่าสินค้า non food
          ส่วนในปี 2555 การขึ้นค่าแรง 300 บาท ยังไม่เห็นผลกระทบจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเต็มปี ทำให้ผลประกอบการปีนี้จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11% YoY นอกจากนี้ยังมีปัจจัยฤดูกาลครึ่งปีแรกดีกว่าครึ่งปีหลัง จากการเติบโตของยอดขายผ่านการขยายสาขา ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มในอัตราน้อยกว่า ขณะที่การเน้นขยายสาขาครอบคลุมอำเภอต่างๆ เป็นโอกาสในการเติบโตจากการขยายสาขาตามเป้าหมายเฉลี่ย 400-500 สาขา ต่อปี นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุนในกลุ่มประเทศอินโดจีน หากพิจารณาโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่เป็น Net cash มองว่าบริษัทมีความพร้อมต่อการลงทุนและจะมีมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนใหม่ในต่างประเทศที่ยังไม่รวมในประมาณการ ขณะเดียวกันยังคาดว่าผลประกอบการ 3 ปี (2555-2557) ของ CPALL จะมีอัตราการเติบโต (CAGR) เฉลี่ย 13% ต่อปี มองว่าศักยภาพการเติบโตกว่า 10% ต่อปี ทำให้หุ้น CPALL ซื้อขายที่ PE สูงกว่ากลุ่มฯ แต่หากเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่าง President Chain Store ผู้บริหารร้านเซเว่นฯ รายใหญ่ในไต้หวัน มี PE เฉลี่ย 28 เท่า จึงมองว่าราคาหุ้น CPALL ยังไม่แพง เมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโตและคู่แข่งในภูมิภาค โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมไว้ที่ 57 บาทต่อหุ้น (DCF WACC @ 9%)
***บล.เกียรตินาคินชี้ KTB รับประโยชน์จากการลงทุนของรัฐบาล
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า KTB มีความเกี่ยวเนื่องกับรัฐบาล โดยเป็นธนาคารที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และรัฐบาลมักจะใช้ KTB เป็นตัวส่งผ่านนโยบายทางการเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ KTB มักจะเข้าไปมีส่วนแบ่งสินเชื่อของหน่วยงานรัฐเป็นปกติอยู่แล้ว โครงการลงทุนขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากของรัฐบาล เช่น กองทุนจัดการน้ำ มูลค่าลงทุนสูงถึง 3.5 แสนล้านบาท จะทำให้สินเชื่อของ KTB ในปี 2555 เติบโตดีต่อเนื่องจากในปี 2554 ที่คาดว่าสินเชื่อของ KTB จะเพิ่มขึ้นถึง 15% สัดส่วนสำรองต่อ แต่สินเชื่อส่วนหนึ่งเป็นสินเชื่อที่ไม่มีความเสี่ยง ทั้งนี้ KTB เป็นธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อภาครัฐเป็นสัดส่วนสูงที่สุดถึงประมาณ 19% ของสินเชื่อทั้งหมดของ KTB หรือคิดเป็นประมาณ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งสินเชื่อนี้ถือเป็นสินเชื่อที่ไม่มีความเสี่ยงเงินปันผลตอบแทนโดดเด่นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนในปีนี้ KTB อาจจะมีการตั้งสำรองสูงกว่าปกติที่จะตั้งไตรมาสละ 1.5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มสัดส่วนสำรองต่อ NPL ขึ้น แต่ฝ่ายวิเคราะห์ยังคาดว่ากำไรสุทธิจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 12.3%YoY นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2554 ในอัตรา 0.70 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield 4.70% ซึ่งเป็นระดับเงินปันผลที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ โดยยังไม่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จึงให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 16.80 บาทต่อหุ้น และมี Upside gain อยู่ 12.75% จึงแนะนำ ซื้อหุ้น KTB
***SAT เนื้อหอม! บล.เกียรตินาคิน ยกให้เป็นดาวเด่น
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า SAT เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพสูงและฐานะทางการเงินมั่นคง ที่ผ่านมามีการเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรม ทำให้เป็นหุ้นที่ถูกเลือกลงทุนเป็นลำดับแรกของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และมีสภาพคล่องสูงที่สุดในกลุ่มฯ (ลูกค้าหลัก คือ MITSUBISHI, TOYOTA และ KUBOTA) โดยในปี 2555 จะเป็นปีที่อุตสาหกรรมยานยนต์ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ถึง 2 เหตุการณ์ ซึ่งคาดยอดผลิตรถยนต์จะเติบโตราว 30% เป็น 1.86 ล้านคัน ขณะที่วงการยานยนต์คาดยอดผลิตรถยนต์สูงถึง 2 ล้านคัน เดือน พ.ย. 2554 ยอดผลิตรถยนต์เป็นจุดต่ำสุด แล้วจะฟื้นตัวแบบ V-Shape ส่วนผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 80% ของตลาดรถในประเทศไทย เริ่มทยอยกลับมาเดินสายการผลิตอีกครั้งตั้งแต่ปลายเดิน พ.ย. 2554 (ยกเว้น HONDA คาดเริ่มภายใน Q2/55) และมีบางรายเปิดเผยว่าจะมีการทำงานล่วงเวลาเร่งยอดผลิตเพื่อให้ระยะเวลาการส่งมอบรถสั้นลง ฝ่ายวิเคราะห์จึงคาดกว่ายอดผลิตรถยนต์จะฟื้นตัวในลักษณะ V-Shape และจะกลับไปอยู่ในระดับมากกว่า 1 แสนคัน/เดือน อีกครั้งภายในไตรมาส 1/2555 (เดือน พ.ย. 54 ยอดผลิตรถยนต์อยู่ที่เพียง 2.3 หมื่นคันเท่านั้น)
          นอกจากการเร่งผลิตเพื่อชดเชยยอดที่หายไปในช่วงน้ำท่วมแล้ว ปี 2555 อุตฯ ยานยนต์ไทยยังมี 3 ปัจจัยผลักดันสำคัญ คือ (1) นโยบายรถคันแรกของรัฐบาล (ซึ่งเจ้าของรถน้ำท่วมอาจได้ประโยชน์ด้วย) (2) การปรับโฉมรถกระบะเกือบทุกยีห้อและการเปิดตัวรถอีโคคาร์อีก 3 ยี่ห้อ (3) โรงงานใหม่ 3 โรงของผู้ผลิตรถยนต์ 3 ราย (FORD, MITSUBISHI, SUZUKI) กำลังการผลิตโรงละ 1-2 แสนคัน/ปี ขณะเดียวกันยังคาดว่าหุ้น SAT จะเป็นหุ้นที่ถูกเลือกลงทุนเป็นอันดับแรกในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เมื่อตลาดเริ่มมีความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของอุตฯ ยานยนต์ไทยซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่ยอดผลิตรถยนต์มีการฟื้นตัวในไตรมาส 1/2555 จึงยังแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสม (12 เดือน) เท่ากับ 25.30 บาทต่อหุ้น (DCF, WACC 9% หรือเทียบเท่า P/E 13 เท่า) และมีโอกาสปรับเพิ่มราคาเหมาะสมขึ้นหากมีสัญญาณว่ายอดผลิตรถยนต์ในปี 2555 จะออกมาสูงกว่าที่คาดหรือเท่ากับที่วงการยานยนต์คาดที่ 2 ล้านคัน
***บล.เกียรตินาคิน คาด SIRI ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 54 สูงถึง 8%
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี2554 ที่จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้งของ SIRI ได้ประมาณ 10 สตางค์ต่อหุ้น (กรณีจ่ายปันผลเป็นเงินสด) ภายใต้สมมุติฐาน อนุรักษ์นิยมอ้างอิงนโยบายการจ่ายปันผล (Dividend Payout 50%) จะให้ผลตอบแทนเงินปันผลทั้งปีได้ 8% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่อยู่ระดับน่าสนใจ ส่วน Backlog ในมือสูงระดับ 3 หมื่นล้านบาท เป็นหลักประกันรายได้ของปี 2555 ได้ 75% นอกจากนี้ SIRI เป็นผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยระดับต้นๆ ที่มีงานในมือสูงถึงระดับ 3 หมื่นล้านบาท รองจาก PS ที่สามารถรองรับรายได้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าในราว 1.5 หมื่นล้านบาท หลักๆ 67% เป็นสินค้าคอนโดมิเนียม จะสามารถบันทึกเป็นรายได้ให้กับ SIRI ในปี 2555 ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย คิดเป็น 75% เมื่อเทียบกับของประมาณการรายได้ทั้งปีที่ 2 หมื่นล้านบาท
          ขณะเดียวกันสินค้าค่อนข้างได้รับการยอมรับจากตลาด จากความเด่นของสินค้าคอนโดมีเนียมใจกลางเมืองที่ค่อนข้างมีหลากหลายรูปแบบและระดับราคา เช่น Dcondo และการมีสินค้าต่างจังหวัดที่มียอดจอง 100% ภายหลังการเปิดตัวที่ไม่นาน เช่น Baan Sankraam หัวหิน และ Dcondo Kathu ที่ภูเก็ต โดยมีสินค้าในมือรอการขายไม่มากนัก ประมาณ 9 พันล้านบาท สำหรับคอนโดมิเนียม และสินค้าแนวราบมีเพียง 5 พันล้านบาท ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 4/2554 มีโอกาสทำได้ดีกว่ากลุ่มแม้รับผลกระทบจากน้ำท่วม สาเหตุจากการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมิเนียมที่ดีกว่าคาด จากโครงการ Quattro ที่จะบันทึกในราว 3 พันล้านบาท ทำให้คาดว่าจะมีการรับรู้รายได้ที่ระดับ 6 พันล้านบาท ในขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยค่อนข้างดีราว 37% จากการรับรู้รายได้สินค้าคอนโดมิเนียม ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มจากภาวะน้ำท่วม ส่งผลให้กำไรสุทธิทำได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับรายปี แต่จะเติบโตเมื่อเทียบกับรายไตรมาส ทั้งนี้แม้ในประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ได้รวมจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นหลังการ คาดหมายการแปลงสภาพ SIRI-W1 ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงจาก 1.65 บาทต่อหุ้น เป็น 1.45 บาทต่อหุ้น (อ้างอิง APER 6 เท่า) ยังคงมีส่วนต่างระหว่างราคาตลาดที่ 18% ซึ่งเมื่อรวมกับอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 8% ทำให้มีผลตอบแทนรวมน่าสนใจ 26%
***บล.เกียรตินาคิน คาดปีนี้ THCOM พลิกเป็นกำไร 355 ลบ.
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าทิศทางในปี 2555 ของ THCOM ตั้งเป้าหมายการใช้บริการแบนด์วิธ IPSTAR เพิ่มจากปี 2554 ประมาณ 10% เป็น 34-35% ตลาดที่จะเข้ามาต่อยอดการเติบโตคือ จีน, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้เป้าหมายการใช้แบนด์วิธเพิ่มขึ้นใกล้เคียงสมมติฐานของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 35% โดยประมาณการปีนี้ รวมจีนกับฟิลิปปินส์ไว้แล้ว แต่ยังไม่รวมอินโดนีเซีย ซึ่งประเมินทุก 1% ของการใช้แบนด์วิธเพิ่มขึ้น จะเพิ่มมูลค่าต่อหุ้น THCOM อย่างน้อย 0.20 บาท คาดว่าปี 2555 ยังมีข่าวดีรออยู่ และจะเติบโตก้าวกระโดด จาก IPSTAR ผ่านจุดคุ้มทุ ส่วนในไตรมาส 1/2555 คาดว่าจะเห็นความคืบหน้า 2 เรื่อง ซึ่งประกอบด้วย 1) การใช้งานแบนด์วิธในญี่ปุ่นส่วนที่เหลือ 30% หากเซ็นสัญญาสำเร็จ คาดจะเริ่มรับรู้รายได้กลางปี 2555 และ 2) การบริหารดาวเทียมวงโคจร 120 องศา จะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการบริหารลูกค้า และเพิ่มรายได้ไทยคม 5 จาก Contract ที่มีอยู่กว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
          นอกจากนี้ยังคาดว่าในปีนี้ผลประกอบการจะพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร 355 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดจากปี 2554 ตามการเติบโตของ IPSTAR และผ่านจุดคุ้มทุนช่วงครึ่งปีหลัง 2554 โดยคาดว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้น 14% จากปี 2554 ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบของส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มเป็น 20.5% จาก 17.5% ราคาหุ้นถูกเกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตในอนาคต ขณะเดียวกันยังมองว่าหลัง IPSTAR ผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว ธุรกิจดาวเทียมจะเป็น Cash cow ของ THCOM จากกระแสเงินสดเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังไม่รวมมูลค่าเพิ่มจากดาวเทียมไทยคม 6 (เริ่มรับรู้รายได้กลางปี 56) และไทยคม 7 (คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ปี 57) ไว้ในประมาณการปัจจุบัน มองเป็น upside ส่วนเพิ่ม จากมูลค่าเหมาะสมปีนี้ที่ 13.50 บาทต่อหุ้น (DCF WACC @ 12%) อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบศักยภาพการเติบโตในอนาคตกับราคาหุ้น THCOM ปัจจุบัน ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.7 เท่า ของ Book value ปี 2555 ซึ่งยังไม่สะท้อนสู่ราคาหุ้นมากนักมองว่าการผ่านจุดคุ้มทุนของ IPSTAR จะหนุนราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นสะท้อนการเติบโตมากขึ้น
***บล.เกียรตินาคิน ชี้ "TISCO" รับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าโครงสร้างสินเชื่อของ TISCO มีสินเชื่อเช่าซื้อเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดประมาณ 71% ของสินเชื่อทั้งหมด และสินเชื่อเช่าซื้อจะคิดอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้าแบบคงที่ ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนสินเชื่อไม่ปรับลดลงหากมีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ขณะเดียวกันจากการศึกษาของฝ่ายวิเคราะห์หากในปี 2555 กลุ่มธนาคารมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงอีกประมาณ 0.5% จะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของทั้งกลุ่มลดลง 0.12% ในขณะที่ TISCO จะมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น 0.35% เนื่องจากต้นทุนดอกเบี้ยลดต่ำลง แต่ผลตอบแทนสินเชื่อไม่ลดลงมากนักสินเชื่อปี 2555 น่าจะเติบโตต่อ ในขณะที่สามารถรองรับความเสี่ยงได้มาก
          นอกจากนี้ยังมองว่าในปี 2555 สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ยังน่าจะเป็นสินเชื่อหลักที่ทำให้สินเชื่อของกลุ่มธนาคารเติบโตขึ้น ทั้งจากความต้องการในการลงทุนใหม่และเพื่อการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม การที่ TISCO หันมาเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น ทำให้คาดว่าสินเชื่อของ TISCO ในปี 2555 น่าจะเติบโตต่อเนื่องได้จากปี 2554 ที่สินเชื่อน่าจะขยายตัวถึง 25% จากฐานสินเชื่อที่สูงมากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้ TISCO จะปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้ 7% ส่วนสินเชื่อส่วนใหญ่ของ TISCO เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทั้งจากรถเสียหายและยอดขายที่อาจจะลดลง เนื่องจากการผลิตหดตัว แต่มองว่า TISCO มีความสามารถที่จะรองรับความเสี่ยงนี้ได้ เนื่องจาก TISCO มีสำรองต่อ NPL สูงที่สุดในระบบธนาคาร โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2554 TISCO มีสัดส่วนสำรองต่อ NPL อยู่ 203% จากค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารมีสำรองต่อ NPL อยู่ที่ 113% ซึ่งน่าจะช่วยให้ TISCO สามารถลดผลกระทบจาก NPL ที่อาจจะเพิ่มขึ้นได้จากภาวะน้ำท่วมและยังคาดว่า TISCO จะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2554 ที่ 2.75 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield ถึง 7.2% โดย TISCO ยังไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล ทั้งนี้จากราคาเหมาะสมของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 47 บาทต่อหุ้น ยังมี Upside gain ถึง 24% จึงแนะนำซื้อ
***บล.เกียรตินาคิน แนะซื้อ WORK เหตุปันผลดี
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า WORK เตรียมเปิดตัวช่องทีวีดาวเทียมอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 1/2555 หลังจากที่ได้ทดลองออกอากาศมาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2554 โดยรวมมือกับ PSI ผู้ผลิตจานดาวเทียมระบบ C band อันดับ 1 ในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจไม่น้อยจากลูกค้าผู้ซื้อสื่อโฆษณาและแฟนรายการ WORKPOIN ทั้งนี้สื่อทีวีดาวเทียมถูกจับตามองว่ามีโอกาสเติบโตได้หลายเท่าตัวจากปัจจุบัน มีมูลค่าตลาดประมาณ 2.5 พันล้านบาท คิดเป็นเพียงไม่ถึง 5% ของมูลค่าตลาดสื่อโฆษณาโทรทัศน์ มีการคาดการณ์ว่าภายใน 3 ปีจะเข้าถึงกว่า 80% ของครัวเรือนทั่วประเทศ ในขณะที่อัตราค่าโฆษณายังต่ำกว่าฟรีทีวีเกือบ 100 เท่า ส่วนในปี 2555 บริษัทดังกล่าวจะปรับขึ้นค่าโฆษณาราว 7-10% ใน 6 รายการจากทั้งหมด 13 รายการ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาทีวีจะขยายตัวราว 6% YoY ผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของภาครัฐ และมีการแข่งขันกีฬาระดับโลก 2 รายการ (โอลิมปิกและฟุตบอลยูโร) และมีแนวโน้มว่าบริษัทจะได้เวลาออกอากาศรายการใหม่เพิ่มอีก 2-3 รายการ นอกจากนี้บริษัทยังมีความสามารถในการผลิต Content บันเทิงหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์, การแสดงโชว์, กิจกรรมนอกสถานที่ และสิ่งพิมพ์ เป็นต้น โดยเฉพาะภายนตร์ ในปี 2554 บริษัทมีภาพยนตร์ทำรายได้ Box Office สูงกว่า 50 ล้านบาท 2 เรื่อง (เท่งโหน่งจีวรบินและ 30+โสด on Sell) ขณะเดียวกันยังคาดว่าในปี 2555 บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 6% YoY และกำไรเพิ่มขึ้น 22% YoY (ได้ประโยชน์นโยบายลดภาษีนิติบุคคล) กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.58 บาท เงินปันผลต่อหุ้น 1.11 บาท แต่มองว่า WORK เป็นหุ้นปันผลดีและยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง จึงแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสม (12 เดือน) เท่ากับ 19 บาทต่อหุ้น (P/E 12 เท่า) และเชื่อว่าตลาดกำลังประเมินศักยภาพของหุ้น WORK ต่ำเกินไป ซื้อขายกันที่ Forward P/E ratio 55 เพียง 8 เท่า คิดเป็นเพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีของ P/E ratio กลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ที่ 16 เท่า
***บล.ทิสโก้ เลือก BANPU -BBL-DCC-KBS-MAKRO-MODERN เป็นหุ้นเด่นเดือน ม.ค.55
          บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าลดน้ำหนักลงทุนหุ้นลงเป็น 30% และถือเงิน 70% เนื่องจากมองไม่มี January Effect หลังจากที่ฝ่ายวิเคราะห์ได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นขึ้นถึง 80% ในช่วงเดือนที่แล้ว รับเม็ดเงินไหลเข้าจากกองทุน LTF/RMF แต่สำหรับเดือนนี้ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้น:เงินสด เหลือเพียง 30% : 70% เนื่องจากมองว่าตลาดจะกลับมากังวลปัญหาหนี้ยุโรปอีกครั้งหนึ่ง ผลจากหนี้ของประเทศกล่ม PIIGS หลายแห่งจะครบกำหนดไถ่ถอนจำนวนมากในช่วงไตรมาส 1/2555 และมีโอกาสการจะถูกลดอันดับเครดิตลง สร้างความปั่นป่วนแก่ตลาดได้
          นอกจากนี้ยังลดจำนวนหุ้นที่แนะนำสำหรับเดือนนื้ลงด้วย จาก 10 ตัวในเดือนที่แล้ว เป็น 6 ตัวในเดือนนี้ โดยไม่มีหุ้นตัวใดเลยที่แนะนำต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว จากมุมมองประเด็นการลงทุนหุ้น (theme) ในเดือนนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงโดยสรุป ซึ่งมองหุ้นเดือน ม.ค. น่าจะปรับตัวลง จึงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นที่มีค่า Beta น้อยกว่า 1x และปันผลดีสม่ำเสมอมากเป็นพิเศษ สำหรับค่า Beta เฉลี่ยตามน้ำหนักการลงทุนเฉพาะการลงทุนในหุ้น และของพอร์ตการลงทุนจำลองโดยรวมในเดือนนี้ อยู่ที่ 0.90 เท่า และ 0.27 เท่า ลดลงจากเดือนที่แล้วที่อยู่ที่ 1.26 เท่า และ 1.01 เท่าตามลำดับ หลัก ๆ มาจากการลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นลง และการให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีค่า Beta น้อยกว่า 1x มากเป็นพิเศษ โดยหุ้นเด่นในเดือนมกราคม 2555 คือ BANPU ,BBL,DCC,KBS,MAKRO และ MODERN เพราะเป้าหมายของราคาหุ้นแต่ละตัวมี Upside สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 14% นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีสม่ำเสมอและน่าจะรองรับความผันผวนของตลาดหุ้นได้ในระดับหนึ่ง
***บล.ทิสโก้ คาด ม.ค.55 ไม่เกิด "January Effect" หลังตั้งกองทุน LTF
          บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าถึงแม้ตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2554 ที่ราว 1 พันจุดต้น ๆ แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากสิ้นปี 2553 แต่ถือว่าเป็นปีที่มีความผันผวนสูงมาก เพราะแกว่งตัวมากกว่า 300 จุด หลัก ๆ สืบเนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ซึ่งยังป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของตลาดหุ้นโลกอยู่ในขณะนี้ โดยในไตรมาส 1/2555 ถือว่าอาการน่าเป็นห่วงมาก เพราะ (1) สำนักงานการธนาคารยุโรป (EBA) ประเมินความต้องการเงินทุนของภาคธนาคารยุโรปเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.06 แสนล้านยูโร เป็น 1.15 แสนล้านยูโร ซึ่งภาคธนาคารยุโรปต้องส่งรายละเอียดแผนการเพิ่มทุนให้ทันภายในวันที่ 20 ม.ค. 2555 สิ่งนี้อาจสร้างความกังวลถึงความแข็งแกร่งของภาคธนาคารในยุโรปและภาวะตึงตัวในตลาดการเงินโลก (2) ในช่วงไตรมาส 1/2555 เป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศในยุโรป (PIIGS) ต้องมีการจ่ายคืนหนี้จำนวนมากถึง 2.14 แสนล้านยูโร โดยเฉพาะอิตาลีและสเปนที่มีสัดส่วนสูงถึง 61% และ 19% ตามลำดับ และ (3) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งมูดี้ส์, S&Pและฟิตช์ ต่างประสานเสียงจะทบทวนอันดับเครดิตของกลุ่มยุโรปทั้งหมดภายใน 1/2555
          ด้านเศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ยาก เพราะความจำเป็นในการรัดเข็มขัดในปีนี้ต้องมีมากขึ้น ซึ่งแน่นอนต้องแลกด้วยการหดตัวทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Deutsche Bank (DB) ซึ่งเป็นพันธมิตรงานด้านวิจัยของฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจในยูโรโซนจะหดตัวราว -0.5% ในปีนี้จากที่คาดว่าจะขยายตัว +1.6% ในปี 2554 สำหรับผลกระทบ January Effect ปีนี้ มองไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะนับตั้งแต่ฝ่ายวิเคราะห์เริ่มมีการจัดตั้งกองทุน LTF ในปี 2004 เป็นต้นมา และสามารถเริ่มขาย LTF คืนได้ในปี 2008 (ครบ 5 ปีปฏิทิน) ไม่เคยเกิดผลกระทบ January Effect อีกเลยมา 5 ปีติดต่อกันแล้ว และโดยเฉลี่ยจะให้ผลตอบแทนติดลบ -5.4% ด้วยปัญหาหนี้ยุโรปยังคงเป็นปัจจัยหลักที่คุกคามการลงทุนต่อเนื่องมายังปีนี้ ประกอบกับมองว่าปีนี้ไม่มีผลกระทบ January Effect จึงมอง SET Index เดือนมกราคม 2555 มีโอกาสปรับตัวลงสูง ทดสอบแนวรับแถว 990-1,000 ขณะที่แนวต้านมองไว้ที่ 1,050-1,055 (จุดสูงสุดเดิมของเดือน ธ.ค.54) สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่มีโอกาสปรับลงอีก (คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมวันที่ 25 ม.ค. นี้ ซึ่งคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 3.00%) ทำให้มองหุ้นปันผลมีความน่าสนใจมากต่อการลงทุนเดือนนี้ โดยเฉพาะในช่วงดอกเบี้ยขาลง (ชั่วคราว) และมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกสูง หุ้นที่ชอบ คือ BANPU, BBL, DCC, KBS,MAKRO และ MODERN ซึ่งส่วนใหญ่นอกจากจะจ่ายเงินปันผลมากกว่า 4-5% ต่อปีแล้ว ยังดำเนินธุรกิจอิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นสำคัญ ทำให้ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและการฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม