จันทร์ 7 พ.ย.2554--eFinanceThai.com :
งัดกลยุทธ์ ลุยหุ้นไทยสัปดาห์นี้
*โบรกฯ คาดดัชนีฯ มีลุ้นแตะต้านแรก 990 จุด

          โบรกฯ ฟันธง หุ้นไทยสัปดาห์นี้ ขานรับหนี้ยุโรปคลี่คลาย มีลุ้นแตะ990 จุด แนะลงทุนหุ้นแบงก์-พลังงาน ปิโตรเคมีและกลุ่มสื่อสาร ส่วนกลุ่มบริการแนะชะลอลงทุน ฟากนักวิเคราะห์บล.ฟิลลิป เตือนระวังลงทุน หลังมองน้ำท่วมยังกดดันทำ SET สัปดาห์นี้ผันผวน แนะถือหุ้นแค่ 25-30% ของพอร์ต ด้านเกียรตินาคิน แนะเก็งกำไร หากสัปดาห์นี้ SET ยืนเหนือ 950 จุดได้ ชู หุ้นรับอานิสงส์หลังน้ำลดแจ่ม
          ตลาดหุ้นไทย พลิกผันหลายตลบเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ ต้องเผชิญกับแรงขายจากปัจจัยลบเรื่องปัญหาหนี้ยุโรปก่อนช่วงท้ายสัปดาห์ กลับมาดูน่าสนใจ เมื่อกรีซตัดสินใจถอนข้อเสนอเกี่ยวกับกับการประชามติ และธนาคารกลางยุโรป (ECB) สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมองว่าวิกฤติหนี้ยุโรปจะดีขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ขานรับปัจจัยบวกดังกล่าว แต่สำหรับตลาดหุ้นไทย ต้องเผื่อใจกับปัญหาน้ำท่วมที่เข้าสู่พื้นที่ชั้นในมากขึ้น ดังนั้น ภาพตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไร และกลยุทธ์การลงทุนควรจะเป็นอย่างไร
*โบรกฯ ฟันธง หุ้นไทยสัปดาห์นี้ขานรับหนี้ยุโรปคลี่คลาย มีลุ้นแตะ990 จุด แนะลงทุนหุ้นแบงก์-พลังงาน-สื่อสาร ส่วนกลุ่มบริการแนะชะลอลงทุน
          นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีฯในสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 990 จุด โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,000 จุด เนื่องจากในสัปดาห์นี้จะมีประเด็นความคืบหน้าของมติประชาพิจารณ์ของทางการยุโรปในวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ ต่อปัญหาหนี้ของกรีซ ซึ่งหากมีความชัดเจนในการขยายกองทุน EFSF รวมทั้งแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซจะส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุนในเชิงบวก
          ขณะที่ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมที่ขยายพื้นที่เข้ามายังกรุงเทพฯชั้นในมากขึ้นนั้นคง ไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯแต่จะกดดันหุ้นบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มบริการ ค้าปลีก ท่องเที่ยวและโรงแรม ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆอาจเริ่มเห็นการฟื้นตัว เนื่องจากผลกระทบเริ่มมีความคลี่คลายลง
          อย่างไรก็ตามดัชนีฯยังมีแรงส่งจากการเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แม้ในวันนี้ (4 พ.ย. 2554) จะเริ่มเห็นแรงขายบางส่วน แต่โดยรวมมองว่าจะยังคงมีการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งส่งผลทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคาร พลังงาน ปิโตรเคมีและกลุ่มสื่อสาร ที่เป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มดังกล่าวตามการเคลื่อนไหวของตลาดฯโดยรวม ส่วนกลุ่มที่ควรชะลอการลงทุนในระยะสั้นนี้ ได้แก่ กลุ่มบริการ ซึ่งต้องรอติดตามผลกระทบและประเมินสถานการณ์ต่างๆก่อน
          ทั้งนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ มีแนวรับอยู่ที่ 950 จุด ซึ่งเป็นแนวรับที่มีความแข็งแกร่งมาก และแนวต้านที่ 990-1,000 จุด
*เซียนหุ้น แนะเล่นหุ้นพลังงาน-อาหาร-วัสดุก่อสร้าง หลังคาด SET สัปดาห์นี้บวกต่อ มีลุ้นแตะแนวต้านแรก 985 จุด รับ บจ.ประกาศผลงานโค้งสาม
          นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระพัฒนสิน กล่าวว่า คาดว่าสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นน่าจะบวกได้ต่อ โดยมีลุ้นทดสอบแนวต้านแรก 985 จุด แนวต้านถัดไป 990 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 950 จุด แนวรับถัดไป 945 จุด ดังนั้นช่วงที่ดัชนีฯทดสอบแนวต้านก็ถือเป็นจังหวะที่จะขายทำกำไรตามรอบ สำหรับเหตุผลที่จะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นได้ คือ การทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะการประชุมจี 20 ที่จะเกิดขึ้นในปลาย สัปดาห์ว่าจะมีอะไรใหม่ๆออกมาหรือไม่ นอกจากนี้ก็มีการทยอยประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
          กลยุทธ์การลงทุน แนะนำเล่นหุ้นในกลุ่มบิ๊กแคป เช่น พลังงาน ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่ผลักดันให้ดัชนีฯไปสู่แนวต้านแรกได้ นอกจากนั้นก็เป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ในกลุ่มอาหารและวัสดุก่อสร้าง
* กูรู เตือนระวังลงทุน หลังมองหนี้ยุโรป -น้ำท่วม ยังกดดัน SET สัปดาห์นี้ผันผวน แนะถือหุ้นแค่ 25-30% ของพอร์ต
          นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป ( ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะยังผันผวน เนื่องจากมี 2 ปัจจัยหลักที่ยังกดดันตลาดหุ้น คือ สถานการณ์น้ำท่วมและการแก้ไขหนี้ของยุโรป โดยเฉพาะหลังการประชุม G20 ในปลายสัปดาห์จะมีความคืบหน้าอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ โดยแนวต้านจะอยู่ที่ 1,000-1,020 จุด แนวรับ 950-930 จุด
          กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ แนะนำ Trading เป็นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ยังมีการเก็งกำไร แต่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากตลาดฯยังผันผวนและมีแรงเหวี่ยงค่อนข้างมาก โดยอาจจะจำกัดกรอบการเล่นหุ้นอยู่ที่ประมาณ 25-30% ที่เหลือถือเป็นเงินสด โดยหุ้นที่บริษัทแนะนำได้แก่ BGH เนื่องจากงบไตรมาส 3 น่าจะออกมาดี
*เกียรตินาคิน แนะซื้อเก็งกำไร หากสัปดาห์นี้ SET ยืนเหนือ 950 จุดได้ ชู หุ้นรับอานิสงส์หลังน้ำลดแจ่ม
          บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า เรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกกับ SET ในระยะกลาง (1-2 เดือน) และมองว่าการพักฐาลงในระยะสั้นเป็นโอกาสในการเข้าทยอยสะสม โดยประเมินว่าตลาดหุ้นไทยที่มี Correlation กับ S&P500 ถึง 0.54 เท่า จะได้ประโยชน์ในเชิง Momentum จากตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งมีปัจจัยหนุนจาก “Earnings Season” ของ S&P500 ประกอบกับตลาดหุ้นไทยจะได้ประโยชน์ในเชิง Fund Flow จากการที่เฟดยังคงยืนยันว่าจะคงดอกเบี้ยไปจนถึงกลางปี 56 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐติดลบราว 2.5-3.0% ในปี 55-56 แม้ว่าในเวลาเดียวกับเฟดจะออกมาได้ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของสหรัฐในปี 55 ลงสู่ระดับ 2.5-2.9% และปรับเพิ่มคาดการณ์การว่างงานในปี 55 มาอยู่ที่ 8.5-8.7% แต่ประเด็นดังกล่าวตลาดรับรู้ไปนานแล้ว
          ในภาวะที่ระดับ “Historical Volatility” ของ SET เริ่มดีดตัวกลับ การ “ทยอยสะสม” หรือ “ซื้อเก็งกำไร” เราจึงแนะนำให้เน้นหุ้นในกลุ่มที่มี “Relative Strength Indicator” ในเชิงพื้นฐาน (ไม่ใช่ RSI ในเชิงเทคนิค) เป็นบวกเมื่อเทียบกับ SET ได้แก่ธนาคาร, รับเหมา, วัสดุก่อสร้าง, สื่อสาร, โรงพยาบาล, อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ขณะที่กลุ่มที่ยังเป็นลบได้แก่ พลังงาน, ปิโตเคมี, ขนส่ง และค้าปลีก
          กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นระยะสั้น (1-2 สัปดาห์) : เราแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” กรณีที่ SET ยืนเหนือ 950 จุดได้ ในหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์หลังน้ำลด ได้แก่ KBANK, BBL, ITD, STEC, AP, ROJNA และ BWG ร่วมกับหุ้นเด่น BTS และ KAMART (ปิดต่ำกว่า 950 จุดขาย 50%) ในหุ้นระยะกลาง (1-3 เดือน) : กรณี SET ยืน 950 จุดได้ แนะนำ “ทยอยเพิ่มพอร์ต” หุ้นจาก 50% เป็น 75% เน้น KBANK, BBL, STEC, ADVANC, THCOM และ SCC
* โบรกฯ ชี้หุ้นกลุ่มค้าปลีก-อาหาร -วัสดุก่อสร้าง-พลังงาน ราศีจับ
          บทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า สำหรับการลงทุนให้ความสนใจจะเป็นกลุ่มค้าปลีก (CPALL, MAKRO) กลุ่มอาหาร (CPF, GFPT) หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการป้องกัน/ฟื้นฟูจากน้ำท่วม (กลุ่มวัสดุก่อสร้างและเกี่ยวเนื่อง อาทิ SCC, TASCO, DCC, HMPRO, GLOBAL) ขณะที่หุ้นพลังงานเลือก PTTEP กับ PTTGC และ ICTอย่าง ADVANC กับ DTAC
          ด้านบล.ไอร่า แนะทยอยสะสมหุ้นที่ถูกน้ำท่วม โดยคาดน้ำจะค่อยๆ ทยอยลดลงจาก นครสวรรค์ ถึง อยุธยา และ ปทุมธานี โดยคาด (1) หุ้นนิคมฯ (ROJNA, NNCL) จะฟื้นตัวก่อนเพื่อเตรียมไฟฟ้าและน้ำสำหรับโรงงานต่างๆ (2) หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (HANA, KCE) และ รถยนต์ (SAT, AH) เริ่มกลับมาผลิตอีกครั้ง (3) หุ้นที่อยู่อาศัย (PS, LH, QH) เริ่มซ่อมแซมบ้านเสร็จรอการขาย
*ทิสโก้ คาด แนวโน้มSET เดือน พ.ย. นี้Sideways Up เป้า 986 หรือ 1,000 จุด
          บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า คาดเดือน พ.ย. ; ตลาดหุ้น สหรัฐ ฯ – ยุโรป ขึ้นก่อนแล้วลงปรับฐานใหญ่ แต่ตลาดหุ้นเอเชีย Sideways Up ( ตลาดหุ้น Shanghai Composite จะ Out Perform ) ตลอดเดือน ต.ค. - ตลาดหุ้นที่ปรับขึ้น 20 – 23 % อาทิ DAX (Germany ) , MXI ( France ) & Hang Seng - ตลาดหุ้นที่ขึ้น 15 – 17 % อาทิ DOWJONES , S&P 500 , KS11( South Korea ) SET , SET50 , JKSE ( Indonesia ) & Philippines - ตลาดหุ้นที่ขึ้น 13 – 14 % อาทิ Malaysia , Taiwan & Australia ส่วนตลาดหุ้นที่ขึ้นเพียง 7 – 8 % อาทิ Shanghai Composite & NIKKEI คาดตลาดหุ้นเชียยัง Sideways Up โดยตลาดหุ้น Shanghai Composite จะกลับมา Out Perform แต่ตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรป จะขึ้นก่อนแล้วผันผวนลงปรับฐานใหญ่ คาด DOWJONES ขึ้นไม่ผ่านแนวต้าน 12,300 จุด แล้วลงทดสอบ 11,300 จุด แนวโน้มเดือน พ.ย. 54 ; คาด SET Sideways Up เป้า 986 หรือ 1,000 จุด นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2 วัน = 2,895 ล้านบาท หลังซื้อสุทธิ ต.ค. = 30,802 ล้านบาท คาดเดือน พ.ย. SET ดูแนวรับ 945 จุด หากยืนได้ SET จะ Sideways Up เป้า 986 หรือ 1,000 จุด - แต่หาก SET ลงต่ำกว่า 945 จุด เป้าขาขึ้นจะถูกยกเลิก SET จะลงสู่แนวรับ 920 จุด
          ผลการประชุม G20 จะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นทั่วโลกถึงสัปดาห์นี้ นายกกรีซอาจลาออกและการลงประชามติในวันที่ 4 ธ.ค.นี้อาจถูกยกเลิก อย่างไรก็ตามการเมืองกรีซยังเป็นความเสี่ยงกำจัดการปรับขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก คาด SET เปิดกระโดด ( เปิด GAP ) ตามตลาดหุ้นทั่วโลก มีแนวรับ GAP Area ที่ 960 – 964 จุด ขึ้นทดสอบแนวต้าน 970 , 975 จุด
* โกลเบล็ก ชี้ ปัจจัยในนอก ประกอบการลงทุน
          บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนปัจจัยในประเทศ
          9-10 พ.ย.นี้ ที่ประชุมรัฐสภาจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ซึ่งเป็นงบประมาณแบบขาดดุลวงเงิน 2.38 ล้านล้านบาท
          11-12 พ.ย.สภาฯจะพิจารณาญัตติเรื่องน้ำท่วมต่อเนื่องกันไป
          14 พ.ย. กำหนดวันสุดท้ายในการประกาศงบการเงินในช่วง 3Q54 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
          สัปดาห์ที่ 2 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
          สัปดาห์ที่ 3 รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
          สัปดาห์ที่ 3 รายงานตัวเลขการส่งออกของไทย
          สัปดาห์ที่ 4 รายงานดัชนีอุตสาหกรรมและภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน /
          30 พ.ย. ประชุมกนง.ครั้งสุดท้ายของปี และธปท.จะรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือน
          ปัจจัยต่างประเทศ
          4 พ.ย. ฝรั่งเศส - การประชุมผู้นำกลุ่มประเทศ G-20 วันสุดท้าย
          สหรัฐ - เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 95,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9.1% ลงประชามติแผนของรัฐบาลกรีซ
          7 พ.ย. เบลเยี่ยม - การประชุมยูโรกรุ๊ป
          7 - 9 พ.ย. กำหนดการประชุมวาระที่ 2 ของการประชุมผู้แทนระดับสูงจากพรรคการเมืองจีน-ยุโรป ครั้งที่ 2 ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยียม
          8 พ.ย. อังกฤษ - รายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย.
          9 พ.ย. อังกฤษ - ธนาคารกลางอังกฤษประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน
          10 พ.ย. สหรัฐ - การประชุมรมว.คลังกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค)
          ต้นเดือนธ.ค. กรีซ - รัฐบาลจัดให้มีการจัดทำประชามติโดยให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจว่าต้องการให้ข้อตกลงของสหภาพยุโรป (EU) มีผลบังคับใช้หรือไม่ และต้องการให้กรีซออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มยูโรโซนหรือไม่