พฤหัสฯ 10 ส.ค.--eFinanceThai.com :
CPF-CPALL แจ่มขั้นเทพ

          โบรกฯ ประสานเสียงซื้อ CPF-CPALL เผยแนวโน้มผลงานครึ่งหลังปีนี้โตตัวต่อเนื่อง รับการบริโภค-ราคาอาหารขยายตัว ล่าสุด CPF โชว์กำไร Q2/54 เพิ่มอยู่ที่ 4.86 พันลบ. ส่วนCPALL กำไรพุ่งอยู่ที่2.16พันลบ. โบรกฯ แนะซื้อCPF ให้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 34.25 บาท ฟากบิ๊ก CPF ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 12% หรือแตะ 2.1-2.2 แสนลบ. พร้อมคงงบลงทุนรวม 5 ปีที่ 4 หมื่นลบ. ด้านบล.เกียรตินาคิน ยก CPALL ความเสี่ยงต่ำจากผลกระทบเศรษฐกิจโลก ชี้ ผลงาน 2Q/54ทำสถิติสูงสุดใหม่ บัวหลวง ให้ราคาเป้าหมาย 50.00 บาท เชื่อรับอานิสงส์จากนโยบายประชานิยมรัฐบาลใหม่
          ขณะนี้ทั่วโลกกำลังขวัญผวากับปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ-ยุโรป ซึ่งยังลูกผีลูกคนว่าจะกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบใหม่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่าหุ้นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)หรือ CPF และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)(CPALL) ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยจากวิกฤตเศรษฐกิจ ล่าสุดCPF รายงานผลประกอบการQ2/54 กำไรเพิ่มอยู่ที่ 4.86 พันลบ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ท่ 4.00 พันล้านบาท
ขณะที่ CPALL โชว์กำไรQ2/54 เพิ่มเป็น 2.16พันลบ.จาก 1.76 พันลบ.ในช่วงเดียวกันปีก่อน
* กูรู เผยแนวโน้มผลงาน CPF-CPALL ครึ่งหลังปีนี้ โตตัวต่อเนื่องรับการบริโภค-ราคาอาหารขยายตัว
          นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของทั้ง CPF และ CPALL มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกในเชิงของภาพรวมทางธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจและการค้าการบริโภค แต่ทั้งนี้ Key Success มีความแตกต่างกันในเชิงของปัจจัย ดังนี้ CPALL จะยังได้รับผลบวกจากการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ที่มีอัตราการขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ CPF ได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าในหมวดอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้จะถือว่าเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงและผันผวนพอสมควร
          สำหรับกลยุทธ์การลงทุน CPALL ในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมายังสามารถซื้อสะสมไว้ได้ โดยมีมูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 60 บาท ขณะที่ CPF แนะนำให้ซื้อเพื่อลงทุนในช่วงสั้น ซึ่งระดับราคาที่ 30 บาทถือว่ามีความแข็งแกร่งมาก ทั้งนี้ ให้มูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 38 บาท
* ยูไนเต็ด เชื่อ CPF โชว์ผลงาน 3Q54 โตต่อจาก 2Q54 แนะ“ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 34.25 บาท
          บทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด ระบุว่า CPF ดำเนินธุรกิจเป็นผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจรของไทย ด้านการเลี้ยงสัตว์และผลิตเนื้อสัตว์ทั้งในเเละต่างประเทศ โดยอานิสงส์ด้านราคาขายในประเทศและการเติบโตในต่างประเทศช่วยดันกำไร 2Q54 จะทำจุดสูงสุดใหม่ โดยผลบวกจากการเกิดปัญหาผลผลิตตกต่ำในสินค้าเนื้อสัตว์หลายประเภททั้ง หมู,ไก่,ไข่ไก่และกุ้งช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงผลักดันราคาขายเฉลี่ยเนื้อสัตว์ในประเทศทุกชนิดใน
          2Q54 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งจาก 2Q53 และ 1Q54 โดยเฉพาะหมู,ไก่และกุ้งที่พุ่งขึ้นถึง 13%YoY, 20%YoY และ 29%YoY ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ด้วยการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศที่ยังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสัตว์ในประเทศอินเดียและมาเลเซีย ก็คาดเป็นปัจจัยขับเคลื่อนยอดขายรวม 2Q54 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 53,768 ล้านบาท (+12%YoY และ +18%QoQ) ส่วนด้านความสามารถในการทำกำไรที่จะปรับตัวขึ้นมากเช่นกันจาก 1Q54 ตามผลประโยชน์ด้านราคาและอัตราทำกำไรจากกลุ่มธุรกิจในต่างประเทศที่จะฟื้น ตัวดีขึ้น โดยเบื้องต้น เราคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะพุ่งมาอยู่เหนือระดับ 19.4% อีกครั้งใกล้เคียงกับ 2Q53 แถมด้วยคาดมีผลบวกจากการเกิดการประหยัดต่อขนาดด้านรายจ่ายดำเนินงานที่บาง ส่วนเป็นต้นทุนคงที่และการเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานของบ.ลูกในกัมพูชา (CPF ถือหุ้น 25%) ที่สร้างกำไรไม่ต่ำกว่าปีละ 10 ล้านเหรียญ ดังนั้น จึงผลักดันเราประมาณการอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT Margin) ดีดตัวสู่ระดับ 11.9% ใน 2Q54 และส่งผลได้ตัวเลขคาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q54 ที่ 4,784 ล้านบาท (+20%YoY และ +38%QoQ) ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดใหม่ของบริษัท และคาดจ่ายปันผลงวด 1H54 ได้ 0.60 บาทต่อหุ้น
         ลุ้นผลการดำเนินงาน 3Q54 โตต่อจาก 2Q54 ซึ่งแม้แนวโน้มธุรกิจไก่ในประเทศ (สัดส่วนราว 13%ของยอดขาย) จะไม่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับ 2Q54 ตามการปรับลดลงอย่างรวดเร็วของราคาขายไก่ในปัจจุบัน จากระดับเฉลี่ย 51.7 บาทต่อก.ก.ใน 2Q54 เหลือราว 40-41 บาทต่อก.ก. อย่างไรก็ตาม ที่ระดับราคากล่าวก็ยังคงสูงกว่าทั้งต้นทุนการเลี้ยงไก่ของอุตสาหกรรมที่ 35-36 บาทต่อก.ก.และราคาขายเฉลี่ยไก่ใน 3Q53 ที่อยู่ระดับ 36.7 บาทต่อก.ก. ในขณะเดียวกัน ด้วยแนวโน้มราคาขายของสินค้าอื่นๆทั้งหมูและกุ้งในประเทศ ที่ยังมีทิศทางทรงตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยใน 3Q53 ค่อนข้างมากกว่า 32%YoY และ 17%YoY (อิงจากราคาขายหมูและกุ้ง 60 ตัว/ก.ก. ณ 26 ก.ค.54 ของกรมการค้าภายใน) ก็ส่งผลมองธุรกิจหมูในประเทศและกุ้งในประเทศ (คิดเป็นสัดส่วน 14-15% และ 3%ของยอดขาย) ช่วง 3Q54 จะยังขยายตัวสูงต่อเนื่องจาก 2Q54 ประกอบกับคาดมีแรงหนุนจากธุรกิจส่งออกที่เป็นช่วง High season และ
          ผลบวกจากคำสั่งซื้อจากญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น รวมทั้ง ผลการดำเนินงานจากธุรกิจในต่างประเทศที่จะปรับตัวดีขึ้นต่อ โดยเฉพาะจากตุรกีที่จะกลับมาสร้างกำไรได้อีกครั้ง ดังนั้น จึงประเมินมีโอกาสสูงที่กำไรสุทธิ 3Q54 จะดีกว่า 2Q54 อีก
          ผลกระทบจากนโยบายขึ้นค่าแรงมีน้อย เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนแรงงานทางตรงเพียง 3-4%ของต้นทุนสินค้ารวมประกอบกับในปัจจุบัน บริษัทก็จ่ายค่าแรงงานเฉลี่ยต่อวันที่สูงค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้วราว 20-30 บาท จึงประเมินผลกระทบจากการใช้นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาทมีจำกัดไม่เกิน 1,000 ล้านบาท/ปี (คิดเป็นไม่ถึง 0.5%ของอัตรากำไรขั้นต้น)
          ผลกระทบ : คงประมาณการกำไรปี 54-55 ที่ 16,055 ล้านบาทและ16,131 ล้านบาท (+18% และ +1%)
          คำแนะนำ : แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยมีราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 34.25 บาทอิง PER ที่ 15x ตามค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมธุรกิจการเกษตร
* บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ชู CPF แจ่ม เหตุแนวโน้มธุรกิจยังมีความสดใส ให้ราคาพื้นฐาน 39.25 บาท
          บทวิเคราะห์บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า แนวโน้มธุรกิจยังมีความสดใส แม้ราคาเนื้อไก่เฉลี่ยในปัจจุบันได้ปรับลดลงเป็น 41 บาทต่อ ก.ก. (-21% เทียบ 2Q54) ส่วนราคาสูงสุดที่ 54 บาทต่อ ก.ก.ในเดือน พ.ค.54 นั้น
           คิดว่าจะไม่ยั่งยืนอยู่แล้ว การปรับลงของราคาจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ ขณะที่วงจรการเพิ่มอุปทานใหม่ค่อนข้างสั้น แต่ราคาเนื้อหมูยังคงอยู่ในระดับสูงเป็น 72 บาทต่อก.ก. และคาดว่าจะดำเนินต่อไปในระยะกลาง เพราะวงจรการเพิ่มอุปทานใหม่ที่ยาวกว่า อีกทั้งอากาศที่ผันผวนก็ยังมีผลกระทบต่อผลผลิตให้ออกมาน้อย สำหรับภาพรวมอัตราการเติบโตกำไรสุทธิปี 54 นี้ เราคาดว่าจะเติบโตได้ 13% y-o-y เป็น 15.4 พันล้านบาท แรงสนับสนุนมาจากธุรกิจสัตว์น้ำที่สดใส และการเติบโตจากธุรกิจการลงทุนในต่างประเทศก็อยู่ในเกณฑ์ดี นั่นคือ ในรอบ 1H54 ได้รับผลดีจากราคาเนื้อสัตว์ที่ทะยานสูงสุดส่งผลดีต่อเนื่องมายังอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง รวมทั้งปริมาณการขายสูงขึ้นตามการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 5% นอกจากนี้ไตรมาส 3 ก็เข้าสู่ฤดูกาลส่งออกที่คึกคักและเป็นตัวเพิ่มการเติบใน 2H54
          คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานกำหนดไว้ที่ 39.25 บาทต่อหุ้น ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 54 ที่ 17 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปี + 1SD เราเห็นว่ากำไรสุทธิ 2Q54 ที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ และแรงส่งในเรื่องการเติบโตของกำไรก็จะเป็นแรงกระตุ้นต่อราคาหุ้น CPF ได้ดี ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานได้อีก 26% ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 54 ถือว่าน่าพอใจที่ 3.7%
*ฟากบิ๊ก CPF ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 12% หรือแตะ 2.1-2.2 แสนลบ. หลังครึ่งปีแรกขยับแล้ว 8% พร้อมคงงบลงทุนรวม 5 ปีข้าง (54-58) ไว้ที่ 4 หมื่นลบ.
           นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่าบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้เติบโตประมาณ 12% หรืออยู่ที่ราว 2.1-2.2 แสนล้านบาท จากปีก่อน เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯ มียอดขายรวมจำนวน 98,974 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีกำไรสุทธิจำนวน 8,348 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมากกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯ ได้ตั้งไว้ โดยธุรกิจอาหารมีการเติบโตสูงสุด 16% ธุรกิจผลิตภัณฑ์จากการเลี้ยงสัตว์เติบโต 9% และธุรกิจอาหารสัตว์โต 4%
          ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2554 มียอดขาย 53,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อนจากอัตรากำไรที่ดีขึ้น รวมถึงยอดขายจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น และส่วนกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมที่ดีกว่าในปีที่ผ่านมา และมีกำไร 4,869 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 40% จากไตรมาส 1/2554 และเพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้เมื่อพิจารณายอดขายตามประเภทกิจการใน 6 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายจากการส่งออกจากกิจการในประเทศมีอัตราเติบโตสูงสุด 11% กิจการในประเทศที่จำหน่ายในประเทศเติบโต 9% และกิจการต่างประเทศเติบโต 6% สำหรับอัตรากำไรเบื้องต้นของบริษัทฯ
          สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ในระดับเดียวกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ผลจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและการส่งออก ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมทำให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิในรอบ 6 เดือนเพิ่มขึ้น
          อย่างไรก็ดีคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งในส่วนของกำไรและยอดขาย เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศที่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ
           ประกอบด้วยนโยบายที่จะให้ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับสูง นโยบายการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน รวมถึงนโยบายการให้เงินเดือนของคนที่จบปริญญาตรีที่ 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตและการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก
          โดยแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลสำหรับการดำเนินงานในงวดครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่ามีโอกาสที่จะจ่ายมากกว่าเงินปันผลระหว่างกาลที่บริษัทฯได้ประกาศจ่ายไปแล้วในอัตรา 0.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก
           นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงงบลงทุนรวม (2554-2558) ไว้ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หรือทยอยลงทุนในช่วง 5 ปีดังกล่าวประมาณ 8 พันล้านบาทต่อปี เพื่อใช้ขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
          นายอดิเรก กล่าวต่อว่า ประเมินว่าจากนโยบายที่รัฐบาลจะปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันนั้น ยอมรับว่ามีผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่และมีสัดส่วนต้นทุนของค่าจ้างแรงงานไม่สูง
          โดยต้นทุนในการดำเนินธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือ ต้นทุนอาหารสัตว์และพลังงาน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบภายใน โดยบริษัทฯจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น เพื่อรองรับต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดีมองว่ามีความเป็นห่วงบริษัทผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก
อย่างไรก็ดีมองว่าบุคคลที่เข้ามารับตำแหน่งในกระทรวงเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ ทั้งกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ถือเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม เนื่องจากเป็นผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจ จึงเชื่อว่าน่าจะสร้างกลไกให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้
           'รัฐมนตรีใหม่ กระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งคลังและพาณิชย์ ถือเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม เนื่องจากมาจากภาคธุรกิจที่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน ไม่ได้มาจากในส่วนของนักวิชาการ จึงมองว่าน่าจะสร้างกลไกเศรษฐกิจให้เติบโตได้' นายอดิเรก กล่าว
          ด้านนายไพศาล จิระกิจเจริญ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่า สำหรับนโยบายการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทฯจะพยายามไม่กู้เงินในสกุลเงินดอลลาร์และยูโร โดยจะใช้วิธีการกู้เงินของประเทศท้องถิ่นเพื่อใช้ลงทุน
          สำหรับปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้รวมอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท โดยมีกระแสเงินสด (Cash Flow) อยู่ที่ประมาณ 9 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีหนี้สินสุทธิอยู่ที่ 3.8-3.9 หมื่นล้านบาท โดยมีสัดส่วนอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาวอยู่ที่ประมาณ 4% หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70%ของหนี้ดังกล่าว และบริษัทฯ มีอัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิอยู่ที่ 0.6 เท่า
           นายไพศาล กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้ถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2554 บริษัทฯ จะเริ่มเปิดให้นักลงทุนจองหุ้นกู้แบ่งเป็นหุ้นกู้อายุ 7 ปี จำนวน 3 พันล้านบาท และ 10 ปี จำนวน 3 พันล้านบาท โดยก่อนหน้านี้บริษัทฯได้ขายหุ้นกู้ชุดแรกอายุ 30 ปี วงเงิน 4 พันล้านบาท ส่งผลให้การออกหุ้นกู้ดังกล่าวจะสามารถช่วยล็อคต้นทุนทางการเงินได้ประมาณ 4-5 ปี
อนึ่งนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
* เกียรตินาคิน ยก CPALL ความเสี่ยงต่ำจากผลกระทบเศรษฐกิจโลก หลังผลประกอบการ 2Q/54 ทำสถิติสูงสุดใหม่
          บทวิเคราะห์บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า CPALL ประกาศผลประกอบการ 2Q/54 มีกำไรสุทธิ 2,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% Y-O-Y และ 4% Q-O-Q เนื่องจากยอดการใช้จ่ายของลูกค้า (Spending per Ticket) เพิ่มขึ้น
         3.9% Y-O-Y เป็น 53 บาท ทำให้ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา (ไม่รวมบัตรเติมเงิน) เติบโต 4.4% Y-O-Y และมีสาขาเปิดใหม่ 124 สาขา หนุนยอดขายเพิ่มขึ้น 17% Y-O-Y และ 5% Q-O-Q เป็น 38,983 ล้านบาท
         การปรับปรุงรายการต้นทุนขาย และค่าใช้จ่าย SG&A ทำให้ Gross margin ลดลงเล็กน้อย Y-O-Y และใกล้เคียงใน 1Q/54 ที่ 24.8% ขณะที่ค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น Y-O-Y ในอัตราน้อยกว่ายอดขาย ส่งผลให้ EBIT margin และ Net profit margin ดีขึ้น Y-O-Y เป็น 7.5% และ 5.6% ตามลำดับความเห็นนักวิเคราะห์
ผลประกอบการ 2Q/54 ทำสถิติสูงสุดใหม่ ภาพรวมผลประกอบการ 2Q/54 ของ CPALL ใกล้เคียงกับข้อมูลที่เราให้ไว้ อย่างไรก็ดีการปรับปรุงรายการต้นทุนขาย ทำให้ Gross margin ทรงตัว Q-O-Q
          จะมี Upside ส่วนเพิ่มจากการปรับประมาณการ ครึ่งปีแรก 54 ผลประกอบการของ CPALL ทำสถิติสูงสุด 2 ไตรมาสติดต่อกัน และคิดเป็น 53% ของประมาณการปีนี้ ซึ่งเราคาดว่ามีกำไรสุทธิ 7,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% Y-O-Y แม้วัฎจักรธุรกิจ CPALL จะมีผลประกอบการครึ่งปีแรกดีกว่าครึ่งปีหลัง เนื่องจากครึ่งปีหลังจะมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายเร่งตัวขึ้น แต่เรามีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการ สะท้อนโครงสร้างค่าใช้จ่ายใหม่ที่ต่ำกว่าประมาณการปัจจุบัน หลังเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 16 ส.ค.นี้
        ได้ประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ เรามองว่า CPALL มีความเสี่ยงต่ำจากผลกระทบเศรษฐกิจโลก เนื่องจากรายได้ 100% มาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศ นอกจากนี้บทวิเคราะห์กลุ่มค้าปลีกเมื่อวันที่ 4 ก.ค.54 เราประเมินว่า CPALL เป็นหุ้นปลอดภัยสุด จากผลกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภคในการใช้จ่ายที่ลดลง เนื่องจากจุดเด่นสาขาร้านเซเว่นฯ ที่กระจายตัวเข้าถึงผู้บริโภค และมี Spending per Ticket เฉลี่ยเพียง 50-55 บาท ทำให้การ
ตัดสินใจซื้อ เน้นความสะดวกมากกว่าผลด้านกำลังซื้อ จึงมองว่าราคาหุ้นที่อ่อนตัวเป็นโอกาส “ทยอยสะสม”
* บัวหลวง แนะซื้อ CPALL เป้าหมายพื้นฐาน 50.00 บาท คาดกำไรในครึ่งหลังของปีเติบโตต่อเนื่อง
          บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า แนวโน้ม: เราคาดกำไรในครึ่งหลังของปีเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบจากปีก่อน แต่อย่างไรก็ตาม กำไรในครึ่งหลังของปีอาจลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบจากครึ่งแรก เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซันในไตรมาส 3/54 และค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารสูงในไตรมาส 4/54
          การเปลี่ยนแปลง: เราคงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายเท่าเดิม
          คำแนะนำการลงทุน: เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่แนวโน้มกำไรเติบโตแข็งแกร่ง เราคาดว่า CPALL จะยังคงปรับตัวดีกว่า SET ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
*กิมเอ็ง เล็งปรับเพิ่มประมาณการกำไร CPALL ปีนี้ หลังเชื่อ รับอานิสงส์จากนโยบายประชานิยมรัฐบาลใหม่
          บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า CPALL มีกำไร 2Q54 ใกล้เคียงกับที่คาดโดยเพิ่มขึ้น 23% yoy เป็น 2,170 ล้านบาทซึ่งสูงเป็นสถิติใหม่ แม้สินค้าเครื่องดื่มได้รับผลกระทบจากภาวะอากาศเย็นและฝนตกบ่อยแต่ยอดขายต่อสาขายังเติบโต 4.4% ประกอบกับมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 124 แห่ง คาดกำไร 2H54 ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง มีการทยอยเพิ่มยอดขายสินค้าประเภทอาหารที่มีอัตรากำไรสูง เราจึงอาจมีการปรับประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น อย่างไรก็ดีราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนต่างไม่มากเมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมอิง DCF ที่ 49 บาท เราจึงแนะนำ ถือ
         CPALL รายงานกำไร 2Q54 ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 23% yoy และ 4% qoq เป็น 2,170 ล้านบาทซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ แม้ยอดขายสินค้าประเภทเครื่องดื่มจะได้รับผลกระทบจากอากาศที่ไม่ร้อนมากตาม ฤดูกาลและการที่ฝนตกบ่อยแต่บริษัทยังมียอดขายเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากยอดขายต่อสาขาเดิม (Same-store sales) เติบโต 4.4% จากการเพิ่มขึ้นของทั้งยอดการใช้จ่ายต่อใบเสร็จและจำนวนใบเสร็จต่อร้านต่อ วัน อีกทั้งมีจำนวนร้านเซเว่นฯ เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ 124 สาขา หรือ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 575 สาขาเมื่อเทียบ yoy ทำให้จำนวนสาขารวมเพิ่มเป็น 6,086 สาขา อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวที่ 24.8% เนื่องจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกรายได้จากการขายบัตรโทรศัพท์ True Move จากเดิมที่บันทึกเป็นรายได้ค่าบริการ มาบันทึกเป็นรายได้จากการขาย โดยบัตรโทรศัพท์เป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำสำหรับ CPALL อย่างไรก็ตามหากไม่รวมบัตรโทรศัพท์ อัตรากำไรจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเติบโตของสินค้า
           Personal care (มีอัตรากำไรเกือบ 30%) เสื้อกันฝน รวมทั้ง สินค้าประเภทอาหาร (Process food) และ อาหารพร้อมรับประทาน/สินค้าแช่แข็ง/สินค้าแช่เย็น (Food service) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการออกสินค้าใหม่ๆ
          เราอาจมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้เนื่องจาก CPALL มีกำไรปกติใน 1H54 เป็นสัดส่วน 54% ของคาดการณ์กำไรปีนี้ที่ 7,637 ล้านบาท (1.70 บาท/หุ้น) เติบโต 15% yoy อีกทั้งผลประกอบการ 2H54 มีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องโดยได้รับอานิสงส์จากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลใหม่ อีกทั้งบริษัทยังคงเป้าหมายการเปิดสาขา 500 แห่งต่อปี และ ยอดขายต่อสาขาเดิมมีอัตราการเติบโต 3-5% ต่อปี ขณะที่ยังมีการทยอยเพิ่มสัดส่วนสินค้าประเภทอาหารที่มีอัตรากำไรสูง โดยปัจจุบัน CPALL กำลังเพิ่มจำนวนสาขาที่วางขายสินค้าแช่เย็น (Chilled food) ซึ่งมีอัตรากำไรสูงถึง 30-35% หลังจากกำลังการผลิตข้าวกล่องจากผู้ผลิตได้เริ่มทยอยเข้ามาแล้วและคาดว่าจะทำให้จำนวนสาขาที่มีสินค้าดังกล่าวขายเพิ่มขึ้นจาก 1,400 สาขา ใน 1H54 มาเป็น 2,000 สาขาในช่วงปลายปีนี้
           เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ CPALL ซึ่งมีศักยภาพเติบโตที่ต่อเนื่อง เนื่องจากการเป็นผู้นำตลาดร้านสะดวกซื้อโดยมีสาขามากที่สุดในประเทศ ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด และ ยังมีนโยบายการขยายสาขา 500 แห่งต่อปีซึ่งคาดว่าจะทำให้สาขารวมเพิ่มเป็น 7,000 แห่งภายในปี 2556 นอกจากนั้นบริษัทยังมีความได้เปรียบจากการมีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตสูงและมีศูนย์กระจายสินค้าของตัวเอง ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน อย่างไรก็ดีราคาหุ้น
ปัจจุบันมีส่วนต่างไม่มากนักเมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมอิง DCF ที่ 49 บาท เราจึงแนะนำ ถือ