พุธ 2 พ.ค.2555--eFinanceThai.com :
หุ้นค้าปลีกสดใส

BIGC นำร่องโชว์กำไรโตเกือบ100%
หุ้นค้าปลีกไทยสดใส รับนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐฯ BIGC นำร่องออกตัวแรง เผย งบโค้งแรกกำไรกระฉูด 1.77 พันลบ.โต 88% หลังพ้นวิกฤตน้ำท่วม แถมได้ผลพวงจากการเข้าเทคฯ คาร์ฟูร์ พร้อมแผนโกยเงินในปีนี้อีกเพียบ ด้าน MAKRO-ROBINS เกาะกระแสบวก หลังนลท.คาดงบ Q1/55 จะออกมาสวยไม่แพ้กัน โบรกฯชี้เส้นเทคนิคยังสดใส ขณะที่ ROBINS มีมุมมองเชิงบวก เหตุรุกตลาดห้างสรรพสินค้าตจว. เตรียมขยายอีก 5 สาขาต่อปี
       สถานการณ์หุ้นค้าปลีกของไทยยังยาวไกล หลังนักวิเคราะห์มีมุมมองต่อตลาดค้าปลีกในเชิงบวก จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ประกอบกับภาคแรงงานของไทยที่มีแนวโน้มจะได้รับค่าแรง 300 บาท/วัน หลายพื้นที่มากขึ้น จะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยบล.เคจีไอ เปิดเผยว่า สภาวะการณ์ในตลาดค้าปลีกของไทยยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเร่งอัดฉีดของภาครัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะในเขตชานเมืองที่มีกำลังซื้อสูง
       ประกอบกับหุ้นค้าปลีกอันดับต้นๆ ของไทย อย่าง บมจ. บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/2555 ออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดทะยานแตะ 1.77 พันล้านบาท จากกำไร 941.46 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ยอดขาย อยู่ที่ 26,484 ล้านบาท โตขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO และ บ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด(มหาชน)หรือ ROBINS กอดคอกันบวกตาม หลังนลท.คาดผลประกอบการจะออกมาแจ่ม หลัง BIGC ปูทางไว้อย่างสวยงาม
       โดยราคาหุ้นค้าปลีกที่สำคัญของไทยวานนี้ปิดการซื้อขายดังนี้
       BIGC ปิดการซื้อขายที่ระดับ 195.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ2.89 % มูลค่าการซื้อขาย 238.41 ล้านบาท
       MAKRO ปิดการซื้อขายที่ระดับ 404.00 บาท เพิ่มขึ้น 21.00 บาท หรือ 5.48% มูลค่าการซื้อขาย 173.53 ล้านบาท
       ROBINS ปิดการซื้อขายที่ระดับ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 3.76% มูลค่าการซื้อขาย 71.87 ล้านบาท
       CPALL ปิดการซื้อขายที่ระดับ 76.50บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,681.84 ล้านบาท
*** BIGC กำไรโค้งแรกปีนี้พุ่งกระฉูดมาอยู่ที่ 1.77 พันลบ
       รายงานข่าวจาก บมจ. บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2555 มีกำไรอยู่ที่ 1.77 พันล้านบาท จากกำไร 941.46 ล้านบาท หรือเติบโตคิดเป็น 88.8% ในช่วงเดียวกันปีก่อน
       โดยนางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (BIGC) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2555 ว่า บริษัทมีผลประกอบการเติบโตขึ้นทุกด้าน สะท้อนความสำเร็จของแผนการประกอบธุรกิจ ประโยชน์ของการควบรวมกิจการ (synergies) และความสำเร็จของการปรับปรุงสาขาเดิมและเปิดสาขาใหม่ของบิ๊กซี
       “ยอดขายไตรมาสแรกของปี 2555 อยู่ที่ 26,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,654 ล้านบาท หรือ 6.7% โดยเป็นผลจากความสำเร็จในการจัดโปรโมชั่นต่างๆ และการเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น รายได้จากค่าเช่าและค่าบริการในไตรมาสหนึ่งอยู่ที่ 1,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 253 ล้านบาท หรือเติบโต 15.4% อันเป็นผลจากการที่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการอัตราการเช่าพื้นที่เช่าให้ได้สูงถึง 97% และผลลัพธ์จากการปรับปรุงสาขาเดิม และการขยายพื้นที่เช่าในสาขาต่างๆ” นางสาวรำภาฯ กล่าว
       “ผลประกอบการที่ดีนี้ ได้ส่งผลให้กำไรขั้นต้นในไตรมาสแรกอยู่ที่ 3,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 430 ล้านบาทหรือ 12.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 836 ล้านบาท หรือ 88.8% จากกำไรสุทธิเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน” นางสาวรำภา กล่าว
       ทั้งนี้ บิ๊กซีมีสาขารวม 240 สาขา แบ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 108 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ต 14 สาขา มินิบิ๊กซี 62 สาขา และร้านขายยาเพรียว 56 สาขา และจะเดินหน้าขยายธุรกิจต่อไป โดยจะเน้นความเป็นผู้นำด้านราคาถูกและคุ้มค่า ผ่านรูปแบบร้านค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า บิ๊กซี จัมโบ้ บิ๊กซี มาร์เก็ต มินิบิ๊กซี ร้านขายยาเพรียว ที่จะนำแคมเปญและบริการด้านต่างๆ อาทิ แคมเปญรับประกันราคา “เช็คไพรส์ ถูกชัวร์” พร้อมสินค้าและบริการที่หลากหลาย ไปสร้างความคุ้มค่าและความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ
*** ยังมีแผนโกยเงินอีกเพียบ
       นอกจากผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2555 ของ BIGC ที่ออกมาดีแล้ว ทางบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือกับบริษัท บางจากปิโตเลียม จากัด (มหาชน) ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพที่จะขยายสาขามินิบิ๊กซีเพิ่มเติมกว่า 300 สาขาในสถานีบริการน้ำมันบางจากในอนาคต โดยในระยะแรกจะเปิดสาขานำร่องก่อน 5 สาขาในสถานีบริการน้ำมันบางจากในไตรมาส 2 ปี 2555
       ประกอบกับบริษัทฯ ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/2555 โดยจะมีการเปิดสาขาใหม่ดังนี้ บิ๊กซีมาร์เก็ต 2 สาขา มินิบิ๊กซี 12 สาขา และร้ายขายยาเพรียว 6 สาขา ทำให้บริษัทฯ มีสาขาทั้งสิ้นรวม 240 เป็นสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ต 108 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ต 14 สาขา มินิบิ๊กซี 62 สาขา และร้ายขายยาเพรียว 56 สาขา
       ขณะที่คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ดำเนินการจัดสรรหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 23.6 ล้านหุ้นโดยวีธี
       เสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง โดยหุ้นดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2.9 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้การเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงจะทำให้บริษัทฯ สามารถดำเนินกลยุทธ์ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องและเร่งการขยายสาขาขนาดเล็กตามที่ได้เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2554 การเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงครั้งนี้จะถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในวันที่ 30 เมษายน 2555 และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2555
***โบรกฯแนะ หากไม่อยากเสี่ยง ให้ถือรอขาย
       นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่า จากการตรวจสอบสัญญาณเทคนิคราคาหุ้น BIGC พบว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว โดยราคาได้เข้าเขตซื้อมากเกินไป(Overbought) ดังนั้น จึงประเมินว่าหากลงทุนช่วงนี้จะมีความเสี่ยง แนะนำถือรอขาย ประเมินแนวต้าน 200 บาท อย่างไรก็ดี จากการประเมินผลประกอบการไตรมาส1/55ของ BIGC ถือว่าเติบโตได้ดีประกอบกับนโยบายรัฐบาลขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท/วันทำให้เป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นที่ทำธุรกิจค้าปลีกเป็นอย่างมากเนื่องจากอำนาจกำลังซื้อของประชาชนระดับกลางเพิ่มมากขึ้นในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค
*** MAKRO ไม่น้อยหน้า ขอเกาะกระแสบวก
       นักวิเคราะห์ทางเทคนิคบล.เกียรตินาคิน เปิดเผยถึงหุ้น บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) MAKRO หลังจากวานนี้ปรับตัวขึ้นแรงว่า หุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสแรกของปีจะออกมาดีเหมือนกับของ BIGC จึงเข้ามาซื้อเก็งกำไร ประกอบกับหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ที่จะปรับตัวขึ้นมาทุกครั้งเมื่อรัฐบาลมีแนวโน้มกระตุ้นเศรษฐกิจ
       ด้านสัญญาณทางเทคนิคราคา MAKRO ก็ยังอยู่ในทิศทางที่เป็นขาขึ้น โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ลงทุนในกรอบ 390 และ 420 บาท
       ส่วนปัจจัยเรื่องค่าแรง 300 บาท ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามากระตุ้นหุ้นกลุ่มค้าปลีกนั้น ประเมินว่าจะยังไม่ใช่ปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มนี้ที่ชัดเจนนัก เพราะต้องมาสรุปกันอีกครั้งว่าค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นการใช้จ่าย หรือจะกระทบกับต้นทุนของผู้ประกอบการมากกว่า
       ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุ ในปี 2555-56 บริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 26% โดยในปี 2555 เพิ่มขึ้น 30.35% เป็น 3,395 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราภาษีจ่ายที่ลดลงจาก 30% เป็น 20% ซึ่งได้ประโยชน์สูงกว่าค่าใช้จ่ายในเรื่องการปรับขึ้นแรงงานขั้นต่ำ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2555 ทางฝ่ายให้สมมติฐานลดลง 0.1% เป็น 7.88% เนื่องจากปีที่แล้ว Margin ที่ดีเป็นผลมาจากสัดส่วนการขายของ Non Food ที่สูงผิดปกติใน 4Q54 สำหรับผลประกอบการในปี 2556 คาดบริษัทจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21.62% เป็น 4,129 บาท บนสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.13% เป็น 8.01%
*** ROBINS แรงไม่แพ้กัน เตรียมขยาย 5 สาขา/ปี
       บทวิเคราะห์ของบล.เคจีไอ เปิดเผยว่ายอดขายของ บ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด(มหาชน)หรือ ROBINS โตอย่างน่าประทับใจที่ระดับ 20.5% YoY จากการเร่งอัดฉีดของภาครัฐ นอกจากนี้กิจกรรมการตลาด และการจัดวางสินค้า และผลกระทบที่น้อยกว่าที่คาดกับยอดขายสาขารัชดาจากการเปิดสาขาใหม่ที่พระราม 9 เนื่องจากมีลักษณะของสินค้าที่วางขายต่างกัน จึงช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างตรงกลุ่ม และดึงดูดความสนใจของฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ส่วนเป้าหมายของบริษัทในการที่จะเปิดสาขาใหม่ปีละ 5 สาขา
       อัตรากำไรที่สูงขึ้น และภาษีที่ลดลงจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิไตรมาสที่ 1/55 การจัดสัดส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะในแผนกเครื่องสำอาง และเครื่องใช้ในบ้าน ช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 24.1% ในไตรมาสที่ 1/54 เป็น 24.6% ยิ่งไปกว่านั้น ผลประโยชน์ที่ได้จากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงจาก 30.0% เหลือ 23.0% ในไตรมาสนี้ ก็มีส่วนช่วยทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14.5% YoY เป็น 440 ล้านบาท
       ส่วนกำไรสุทธิทั้งขึ้น 2% เป็น 2.15 พันล้านบาท จากการปรับสมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขายห้างใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 15.0% เป็นไม่ติดลบ ซึ่งการปรับนี้เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง และการจัดสัดส่วนสินค้าใหม่ซึ่งช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าและลดการแข่งขันกับสาขาอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้เป้าสัดส่วนยอดขายของห้างใหม่ต่อยอดขายรวมที่เราวางไว้ที่ 3.0% ก็เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีตในช่วง 2548-2555 ที่ 3.1% แต่ยังคงต่ำกว่าที่บริษัทคาดเอาไว้ที่ 3.0-4.0% ของยอดขายรวม โดยคาดว่า same-store-sale growth (SSSG) ของสาขาที่มีอยู่ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7.0% ทั้งนี้การแข่งขันในพื้นที่ที่ลดลงและการเปิดตัวยี่ห้อสินค้าใหม่ๆ และสินค้ารุ่นใหม่ๆ ตลอดทั้งปี จะช่วยกระตุ้นการซื้อซ้ำและลดความกังวลเกี่ยวกับผลของค่าครองชีพที่แพงขึ้นซึ่งจะลดการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ในขณะเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 24.6% (สูงขึ้น 20bps YoY) และอัตราภาษีที่ลดลงเหลือ 23.0% ก็เป็นไปตามความคาดหมายของบริษัท
*** โบรกฯ เสียงแตก มอง ROBINS ต่างมุม
       หลังจากที่ทาง บ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด(มหาชน)หรือ ROBINS ได้ให้นักวิเคราะห์เข้าร่วมประชุมกับบริษัท ส่งผลให้นักวิเคราะห์หลายรายมีมุมมองต่อบริษัทฯ ต่างไปดังนี้
       โดย บล.เคจีไอ ประเมินว่า ภาพรวมของธุรกิจของ ROBINS ยังสดใส ทำให้ต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิทั้งขึ้น 2% เป็น 2.15 พันล้านบาท จากการปรับสมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขายห้างใหม่จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 15.0% เป็นการเติบโตคงที่ระดับ 0% และเมื่อมองไปข้างหน้า เป้าหมายของบริษัทในการที่จะเปิดสาขาใหม่ปีละ 5 สาขา และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20bps YoY ยังเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้บริษัทเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดศูนย์การค้าต่างจังหวัด และหนุนให้ ROBINS จะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ CAGR ปี 2554-2557 อยู่ที่ 35.5% ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในกลุ่ม จากแนวโน้มที่สดใสและราคาหุ้นที่ถูกกว่าเพื่อน จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 60.0 บาท (จากเดิม 55.0 บาท)
       ด้าน บล.ทิสโก้ ปรับมูลค่าที่เหมาะสมของ ROBINS ขึ้น 15.6% จากเดิม 51.5 เป็น 59.5 บาทโดยอ้างอิง PER 32 เท่าสำหรับปี 2555F และ EV/EBITDA 15.7 เท่า โดยปัจจุบัน ROBINS ซื้อขายที่ PER 29.7 เท่าสำหรับปี 2555F เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งเรามองว่า ROBINS สมควรซื้อขายที่ระดับพรีเมี่ยมเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค โดยมีความเสี่ยงคือการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการขยายกิจการที่ต่ำกว่าคาด
       แต่บล.เอเซียพลัส แนะนำ “ขายทำกำไร” ในช่วงสั้น Fair Value 53.25 บาท แม้ภาพรวมผลประกอบการในช่วง 2-3 ปีนี้ ยังคงสดใส แต่ในช่วงสั้น ระดับราคาได้
      ปรับขึ้นมาสะท้อนมูลค่าพื้นฐานแล้ว เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมต่อไป
*** CPALL ขึ้น XD วันนี้
       บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยถึง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL ว่าได้ปรับคำแนะนำ CPALL จาก “ถือ” เป็น “ขาย” ทำกำไร Fair Value’55 (Bt) 62.00 (ก่อน XD) เนื่องจากราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐาน และมูลค่าเหมาะสมใหม่ หลังปรับเพิ่มประมาณการปี 55-56 จากเดิม 4% แล้ว โดยราคาหุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นจากต้นปี 48% และมี PE ปัจจุบันเฉลี่ย 42.9 เท่า สูงกว่า PE กลุ่มค้าปลีกที่ 34.7 เท่า และ PE ปี 55 ที่ 35.6 เท่า ประกอบกับช่วง 1 ปีข้างหน้า เราคาดว่า CPALL ยังไม่มีปัจจัยบวกต่อการเพิ่ม upside ขณะเดียวกันราคาหุ้นที่ปรับขึ้นแรง ทำให้มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยเพียง 2% จากเดิม 3-4% ต่อปี ระยะสั้นมองว่า CPALL มีความเสี่ยงจากผล XD วันที่ 3 พ.ค. และหุ้นปันผล 4,493 ล้านหุ้น (50% ของหุ้นทั้งหมด) จะเข้าซื้อขายวันที่ 22 พ.ค.นี้
       โดย CPALL ประกาศจ่ายปันผลปี 54 รวมอัตราหุ้นละ 2.25 บาท (yield 2.9%) เป็นเงินสดหุ้นละ 1.25 บาท และหุ้นปันผล 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล จะขึ้น XD วันที่ 3 พ.ค.นี้ เราประเมินผลกระทบต่อราคาหุ้นตามทฤษฎี (Price dilution) ประมาณ 51% จากการจ่ายปันผลครั้งนี้ ส่วนหุ้นปันผลจำนวน 4,493 ล้านหุ้น (50% ของหุ้นทั้งหมด) คาดว่าจะเข้าซื้อขายวันที่ 22 พ.ค. จึงมองว่าเป็นความเสี่ยงในระยะสั้นต่อราคาหุ้น CPALL อย่างไรก็ดีเรามองว่าปัจจัยพื้นฐานที่ดีของ CPALL จะทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับลงน้อยกว่าผลกระทบตามทฤษฎี
       อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการ 1Q/55 จะมีกำไรสุทธิ 2,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% YoY และ 48% QoQ เนื่องจากจำนวนลูกค้าใช้บริการเพิ่มขึ้น ประกอบกับปัญหาสินค้าขาดเริ่มลดลง และสาขาถูกน้ำท่วมกลับมาเปิดปกติ ทำให้ใน 1Q/55 ยอดขายสาขาเดิม (Same store sales growth) เติบโตใกล้เคียงเป้าหมายที่ 5% หนุนยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 11% YoY และ 5% QoQ เป็น 41,257 ล้านบาท นอกจากนี้ยอดขายร้านเซเว่นฯ ที่กลับมาเติบโต YoY และ QoQ ประกอบกับยอดขายเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้นจากอากาศร้อนกว่าปกติ จะช่วยให้ Gross margin ฟื้นตัวจาก 4Q/54 เป็น 24.5% ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายลดลง YoY และ QoQ เป็น 21.3% รวมทั้งค่าใช้จ่ายภาษีลดลง 18% YoY จากการปรับอัตราภาษีเหลือ 23% อย่างไรก็ดีตั้งแต่ 2Q/55 ผลบวกจากอัตราภาษีใหม่ จะถูกทดแทนด้วยการปรับขึ้นค่าแรง