จันทร์ 3 ก.ย.2555--eFinanceThai.com :
รอเฟด-อีซีบีชี้ชะตาSET Index เดือนนี้

* กูรู เตือนระวังปรับฐานแรงถึง 1180 จุด
เซียนหุ้น ประสานเสียงประชุมเฟด-อีซีบี ชี้ชะตา SET เดือนก.ย. - เอเซียพลัส เชื่อ ยังไร้มาตรการกระตุ้นศก. ฟากกรุงศรี ฟันธง SET ก.ย.ปรับฐานลงแนวรับ 1180 จุด ชี้ หากขึ้นจะไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1,250 จุด และเป็นการขึ้นอย่างมั่นคง แนะรอซื้อที่แนวรับ เน้นเก็บหุ้น turnaround ชู ROJNA-STPI- THRE แจ่ม
ตลาดหุ้นไทยสุดสัปดาห์ (31ส.ค55) ปิดตลาดฯ1227.48 จุด เพิ่มขึ้น 12.93 จุด หรือ 1.06% มูลค่าการซื้อขาย 24,789.51 ลบ. อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ทิศทางตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวไปอย่างผันผวน เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่รอความชัดเจนจากการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED วันที่12 ก.ย. 55และธนาคารกลางยุโรป วันที่ 6 ก.ย.55 ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอย่างไรในเดือน ก.ย.นี้
* เซียนหุ้น ประสานเสียงประชุมเฟด-อีซีบี ชี้ชะตา SET ก.ย.นี้
         นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า หากพิจารณาทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ช่วงเดือนกันยายนถือเป็นช่วงที่ตลาดฯ มีแรงเหวี่ยงค่อนข้างแรง คือจะปรับขึ้นเยอะและปรับลงเยอะในช่วงเดือนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากปัจจัยสำคัญของเดือนกันยายนยังคงเน้นที่ปัจจัยตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากช่วงเดือนนี้จะมีปัจจัยสำคัญ ทั้งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) รวมถึงการประชุมรัฐมนตรีคลังของยุโรป ซึ่งหากประเด็นทั้งหมดเป็นไปในทิศทางบวก ก็เชื่อว่า ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยประเมินกรอบแนวต้านแรกไว้ที่ 1,240 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,247 จุด ขณะเดียวกันหากผลการประชุมออกมาตามที่ตลาดคาดการณ์ หรือแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ก็เชื่อว่านักลงทุนจะเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง โดยประเมินแนวรับแรกที่ 1,198 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,187 จุด
         สำหรับกลุ่มที่แนะนำลงทุนในช่วงเดือนกันยายน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร อาทิ KBANK, BAY ทั้งนี้ หากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวชัดเจน แนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน อาทิ PTT, TOP และหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามที่ตลาดฯคาดการณ์ แนะนำลงทุนในกลุ่ม AP, QH รวมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มสดใสตลอดทั้งปี คือ หุ้นในกลุ่มยานยนต์และโรงพยาบาล
         ด้านนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ตลอดเดือนกันยายนน่าเป็นช่วงที่ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงต้นเดือนกันยายนเป็นช่วงที่ตลาดมีปัจจัยใหญ่ ๆ เข้ามาเยอะ อาทิ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) รวมถึงการประชุมรัฐมนตรีคลังของยุโรป ซึ่งหากมีแนวโน้มที่ดีก็เชื่อว่าจะเป็นตัวกระตุ้นดัชนีให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ปัจจัยยังทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงก็เชื่อว่านักลงทุนจะเทขายออกมาเป็นปรับพอร์ตมากกว่า ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายนมองว่า เป็นจังหวะที่ตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงพักฐาน เนื่องจากปัจจัยกระตุ้นหมดไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนแล้ว ทั้งนี้หากประเมินจากในอดีตช่วงเดือนกันยายนจะถือเป็นช่วงที่ตลาดผันผวนสลับกับพักฐานตลอดอยู่แล้ว
         กลยุทธ์การลงทุน แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีผลประกอบการดี และกลุ่มไอซีทีที่จะได้รับปัจจัยบวกจากการประมูล 3 จีที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม โดยประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 1,200 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,180 จุด ขณะที่)ระเมินแนวต้านที่ 1,250 จุด
* เอเซียพลัส เชื่อ ยังไร้มาตรการกระตุ้น ศก.
         บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า คาดว่าตลาดฯน่าจะให้ความสำคัญกับการประชุมที่เมือง Jackson Hole ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกในจำนวน 2 วัน ที่มีการกล่าวสุนทรของนายเบนาเก้ ประธาน Fedแต่เชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะเน้นไปในเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งหากพิจารณา GDP Growth ล่าสุดในงวด 1H55 พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีคือเติบโตกว่า 2.2%yoy ทำให้ประมาณการทั้งปี 2555 น่าจะอยู่ที่ 2% ตามคาดการณ์ของ IMF ได้แม้ว่าปัญหายุโรปยังมีอยู่ก็ตาม แต่นั่นหมายความว่าในงวด 2H55 น่าจะเติบโตในระดับต่ำกว่า 2% ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าจะยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเป็นรูปธรรม แต่สิ่งที่ตลาดน่าจะต้องให้ความสนใจถัดมาคือ การประชุมของธนาคารกลางโลกที่สำคัญ ๆ โดยเฉพาะประเทศจีน ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ น่าจะมีอะไรออกมาช่วยลดความกังวลต่อตลาด เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเริ่มสร้างความกังวลต่อตลาดว่าจะเกิด Hard Landing มากกว่า soft landing ขณะที่การประชุมธนาคารกลางอื่นๆ คือ
         5 ก.ย. นี้ จะมีการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. ซึ่งคาดว่ามีโอกาสสูงที่จะยืนดอกเบี้ยนโยบายที่เดิมคือ 3% เพราะหากคำนึงถึงตัวเลข GDP ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ แม้งวด 1H55 จะเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.3% แต่คาดว่าจะกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดเฉลี่ย 9% ในงวด 1H55 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อไทยล่าสุดจะอยู่ที่ 2.73% พบว่าผลตอบแทนที่แท้จริงยังเป็นบวก เพียงเล็กน้อยราว 0.27% (Policy rate หักด้วยเงินเฟ้อ)
         6 ก.ย. การประชุมของธนาคารกลางยุโรป ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันที่ 0.75% ลง 0.25% เหลือ0.5% หลังจากการประชุมครั้งหลังสุดให้ยืนดอกเบี้ยนโยบายที่เดิม ได้สร้างความผิดหวังต่อตลาดเป็นอย่างมาก
         12 ก.ย. การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ซึ่งคาดว่าจะยังไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแรงๆ นอกจากการพูดถึงแนวทางการคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0-0.25% ต่อไปจนถึงปี 2557 เท่านั้น
* กรุงศรี ฟันธงSET ก.ย.ปรับฐานลง 1180 จุด แนะรอซื้อระดับดังกล่าว
         บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า เดือน ก.ย. SET จะเคลื่อนไหวที่ กรอบ 1,180-1,250 จุด เป็นกรอบในลักษณะการปรับฐาน เหตุผลคือ การปรับขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วนั้น ลักษณะโครงสร้างของกราฟ เกิด overbought คาดว่าจะไม่สามารถผ่านแนว1,250 จุด(หรือหากเลยขึ้นไปก็เป็นลักษณะ overbought อยู่ดี) เชื่อการขึ้นอย่างมั่นคงจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากแพทเทินของกราฟไม่ได้รองรับการขึ้นดังกล่าว หลังจากที่ดัชนีฯตลาดปรับขึ้นต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ แพทเทินดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่ตลาดจะวกกลับเข้าสู่แนวรับที่ 1180 จุด ซื้อเป็นแนวรับสำคัญ ความเป็นไปได้นั้นเมื่อพิจารณาจากแพทเทินระยะยาว เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะทดสอบระดับแนวรับโดยการเข้าไปสู่ระดับ 1180 จุด ใหม่นั้นจะช่วยทำให้ดัชนีตลาดและภาวะราคาของหุ้นเกิดลักษณะ oversold ทำให้ราคาหุ้นและSET มีโอกาสเกิดการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ขณะที่ปัจจุบันการพุ่งขึ้นนั้นหากทดสอบ 1250 หรือ 1260 จุด ของดัชนีตลาดที่พุ่งขึ้นชันน่าจะเกิดสัญญาณตึงตัวก่อนที่จะวกกลับ
         หุ้นที่เคลื่อนไหวตาม SET ถ้ามองจากดัชนีกลุ่ม หลักๆ เช่นธนาคาร พลังงาน ซึ่งมีน้ำหนักในกลุ่มSET50 ก็จะพบว่า ราคาค่อนข้างสูง โดย indicators ต่างๆเกิดความตึงตัวและมีภาวะของความเป็น overbought มาก มีโอกาสเกิดการปรับฐานได้ จึงมองหาระดับแนวรับสำคัญที่จะเป็นระดับซื้อครั้งใหม่ ในขณะที่แนวต้านที่แสดงไว้ จะเป็นระดับขาย
         ภาพตลาดในเดือนนี้ ถ้ามองแบบระยะสั้น(4 สัปดาห์) ถือว่าควรที่จะขายก่อน และระดับที่เป็นแนวรับสำคัญคือระดับซื้อกลับครั้งใหม่ อาจได้แรงหนุนของสัญญาณขาขึ้นระยะสั้นครั้งใหม่ที่ 1180 จุด
* แนะเก็บหุ้น turnaround ชู ROJNA-STPI- THRE แจ่ม
         บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า เน้นย้ำว่าหุ้นไทยมี PER 14 เท่า เริ่มแพงแล้ว จึงเน้นใช้กลยุทธ์เลือกเป็นรายหุ้นน่าจะเหมาะสมที่สุดหากการประชุมที่ Jackson Hole สุดสัปดาห์นี้ไม่มีอะไร เชื่อว่าโอกาสการปรับฐานแรง ๆ อีกครั้ง เพราะหากพิจารณา ผลตอบแทนตลาดหุ้นโลก จากต้นปี 2555 ถึงปัจจุบันพบว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 20% ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ 19% และ สิงคโปร์ 15%เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วบางแห่งให้ผลตอบสูงมากเช่นกัน คือ เยอรมันกว่า 18% และ S&P500 12% ขณะที่ตลาดที่เหลือส่วนใหญ่ยัง under perform ดังนั้นเป็นไปได้ว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงไปแล้วน่าจะชะลอตัวลง ตรงกันข้ามกับตลาดที่ under performน่าจะกลับมา out perform ได้ ประกอบกับตลาดหุ้นไทย คาดว่าค่า PER ที่อยู่ในระดับสูง 14 เท่า (ซึ่งเป็นระดับสูงสุดทุกครั้งที่มี FundFlow ไหลเข้า)
         กลยุทธ์การลงทุนยังแนะนำให้เลือกเป็นรายหุ้น เฉพาะที่มีประเด็นบวกหนุน โดยเฉพาะกลุ่ม turnaround ได้แก่ ROJNA,STPI, THRE เป็นต้น