จันทร์ 16 ม.ค.2555--eFinanceThai.com :
หมดยุคเก็งทองช่วงตรุษจีน 

กูรูทอง ชี้ตรุษจีนปีนี้ราคาทองไม่ฟู่ฟ่า ไม่เหมาะเก็งกำไร เหตุภาวะเศรษฐกิจโลกไม่เอื้อ ทั้งเรื่องหลายประเทศในยูโรโซนถูกลดเครดิต เงินดอลล์แข็งค่า และน้ำมันโลกเริ่มขยับลง เตือนเก็งกำไรในช่วงนี้อาจไม่ได้ผลตอบแทนตามคาด เหตุเส้นเทคนิคมี upside แค่ 1.39% แต่ downside มีมากถึง 2.85% คาดกรอบสัปดาห์นี้อยู่ที่ 1,590-1,680 เหรียญ หรือ 23,950-25,300 บาท
*** GBX ชี้ Downside ทองรอบนี้มีถึง 2.85%
       นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ นักวิเคราะห์ทองคำ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GBX กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีนว่า แนวโน้มราคาทองคำในปี 2555 ยังคงผันผวน ซึ่งหากนักลงทุนจะเข้าซื้อทองคำในช่วงสัปดาห์ที่ใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีน อาจจะได้ผลตอบแทนไม่ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปจากต้นปีมากพอสมควร โดยราคาปิดของทองคำ ณ วันทำการแรกของปี 2012 ที่ราคา1,565 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ เทียบกับราคาปัจจุบันที่ 1,647ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ (ณ วันที่ 12/1/2012) จะมีผลตอบแทนอยู่ที่ 5.80% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา
       นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาปัจจัยทางด้านเทคนิคประกอบกัน จะเห็นได้ว่าแนวต้านของราคาทองคำอยู่ที่ 1,670 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,600 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ ซึ่งจะมี upside (1.39%) น้อยกว่า downside (2.85%) ดังนั้น ในช่วงสัปดาห์ก่อนตรุษจีนของปีนี้ จึง “ไม่แนะนำเข้าซื้อทองคำ” เพื่อไปขายทำกำไรในช่วงตรุษจีน
***สัปดาห์นี้ขยับในกรอบ 1,590-1,680 เหรียญ
       โดยฝ่ายวิเคราะห์ของ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง ประเมินว่าแนวโน้มของราคาทองคำสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,590-1,680 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์ หรือ 23,950-25,300 บาท/บาททองคำ(อ้างอิง ณ อัตราแลกเปลี่ยน 31.82บาท/$) โดยแนะนำนักลงทุนจับตามองที่แนวต้าน 1,660-1,680 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์หรือ 25,000-25,300 บาท/บาททองคำ ซึ่งหากผ่านไม่ได้ให้”ทยอยขายออก”แล้วรอรับคืนที่แนวรับ 1,600-1,610 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์หรือ 24,100-24,250บาท/บาททองคำ แต่หากราคาต่ำกว่า 1,590 ดอลลาร์/ทรอยออนซ์หรือ 23,950บาท/บาททองคำ ให้”ขายตัดขาดทุน”
       สำหรับข้อมูลสถิติย้อนหลังไป 10 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2002-2011 พบว่านักลงทุนซื้อทองคำที่ราคาปิดของวันทำการแรกของปี และขายในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งปรากฏว่ามีผลตอบแทนที่เป็นบวกถึง 8 ปี และมีผลตอบแทนที่เป็นลบในปี 2004 และ 2005 เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดเหตุการณ์สงครามระหว่างอิรักและสหรัฐอเมริกา
       โดยผลตอบแทนต่องวดมากที่สุดเกิดขึ้นในปี 2006 อยู่ที่ 10% และมีผลตอบแทนน้อยที่สุดในปี 2005 อยู่ที่ -3.70% แต่หากพิจารณาอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (simple average) จะอยู่ที่ 3.72% ขณะที่ปัจจัยเรื่องฤดูกาล (Seasonal Effect) จากความต้องการใช้ทองคำที่เพิ่มสูงขึ้น หรือลดลงทั่วโลก ยังคงมีผลกระทบต่อราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง
       “ เป็นปกติที่ช่วงเทศกาลตรุษจีนจะมีการคาดการณ์ราคาทองคำว่า มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เพราะหลายคนคิดว่าคนจีนทั่วโลกจะซื้อทองเพื่อเป็นสิริมงคล ส่งผลให้ที่ผ่านมามีการเก็งกำไรในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ในระยะหลังๆผลตอบแทนจากต้นปีถึงเทศการตรุษจีนเริ่มปรับตัวลดลง โดยราคาทองคำในปีที่ผ่านมาแก่วงตัวรุนแรงกว่าปีก่อนๆมากเพราะมีนักเก็งกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อยากเน้นให้นักลงทุนติดตามข่าวสารที่เกิดผลกระทบต่อราคาทองคำ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายทางการเงินของประเทศต่างๆ ราคาน้ำมัน และปัญหาหนี้ยุโรป เป็นต้น เพื่อประเมินสถานการณ์การลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ”นายณัฐวุฒิ กล่าว
***นายกฯทอง ชี้ ราคาไม่คึก เพราะนลท.เตรียมทฉลองตรุษจีน
       นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าราคาทองคำในช่วงนี้เคลื่อนไหวแบบแกว่งตัว และชะลอความร้อนแรงลง ซึ่งนักลงทุนคงเตรียมตัวฉลองเทศกาลตรุษจีน นอกจากนี้เมื่อ 1-2 สัปดาห์ก่อนนักลงทุนเข้ามาซื้อทอง เพราะความกังวลปัญหาระหว่างประเทศสหรัฐฯ และอิหร่านในการปิดช่องแคบเฮอร์มุซซึ่งเป็นทางลำเลียงน้ำมันของโลก สนับสนุนให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาหลายวันทำการ
       แต่อย่างไรก็ดีทิศทางราคาทองโลกยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ภายในครึ่งปีแรก จากเดิมที่เคยทำในปีก่อนอยู่ที่ระดับ 1,922 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากสินทรัพย์ทองคำยังเป็น Save Heaven ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน
       'คิดว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนสนใจภายใต้ปัญหาเศรษฐกิจจากต่างประเทศ แต่ตอนนี้ราคาอาจจะยังสูงอยู่ ซึ่งหลังจากนี้ที่ราคาทองอ่อนค่าลงคงจะมีแรงซื้อดันราคาขึ้นมารอบใหม่ และราคามีสิทธิ์ทำ New High แต่คงไม่ถึง 2,000 ดอลล์ '
***ออสสิริส ชี้ทองแกว่งตัวแบบไม่มีทิศทาง
       ทางด้านบทวิเคราะห์ของบริษัท ออสสิริส จำกัด เปิดเผยว่า ภาพนโยบายการเงินสหรัฐฯในปัจจุบันเอื้อต่อการเก็งกำไรและผลักดันราคาทองคำในทางบวก แต่อาจทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นพุ่งสูงขึ้นและส่งผลลบต่อราคาทองคำได้ จึงคาดว่า ราคาทองคำช่วงนี้แกว่งตัวอย่างไม่มีทิศทางได้ ทั้งนี้ แม้ตลาดอาจยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน แต่ตลาดก็ขาดแรงบวกอย่างรุนแรง จึงยังเห็นว่าภาพบรรยากาศยังแสดงให้เห็นถึงความลังเลในการลงทุนของนักลงทุนอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนต่างๆ
       ส่วนเรื่องปัญหาหนี้สินในยุโรปอาจกลับมาเป็นประเด็นหลักในการซื้อขายช่วงนี้ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นไปในทางลบได้อย่างรุนแรงในขณะที่ดอกเบี้ย LIBOR ยังสูง ระยะสั้นในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงและไม่ดึงดูดการเก็งกำไรในสินทรัพย์ จริง จึงมองว่าราคาทองคำไม่น่าจะได้รับแรงบวกจากการเก็งกำไรอย่างรุนแรงได้มากนัก ในทางกลับกันทิศทางตลาดโลกที่ไม่ชัดเจนจะช่วยจำกัดการปรับตัวลงของราคาทองคำ โดยนักลงทุนทั่วไปยังเห็นค่าของทองคำเป็นส่วนหนึ่งในการกระจายความเสี่ยง นั่นเอง จึงยังมองว่าราคาทองคำไม่น่าจะได้รับแรงผลักดันให้ปรับตัวอย่างมีทิศทางได้ อย่างยั่งยืนนัก
***ปัจจัยเสี่ยงยุโรปยังมี
       บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่าราคาทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวขึ้นอีก 23.13 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสองสัปดาห์ต่อเนื่อง ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2012 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปแล้วถึง 74 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 4.73% โดยสาเหตุหลักนั้นมาจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันหลังจากความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตกและอิหร่านดูเหมือนจะบานปลาย
       ในขณะที่ความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกนั้นล่าสุด สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ได้ปรับลดอันดับเครดิตระยะยาวของฝรั่งเศสลง 1 ขั้น จาก AAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และปรับลดอันดับเครดิตของประเทศอื่นๆในยูโรโซนอีก 8 ประเทศ ซึ่งมี อิตาลี, โปรตุเกส และสเปนรวมอยู่ด้วย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกดดันเงินสกุลยูโรให้อ่อนตัวลง ผลักดันให้เงินสกุลดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาทองคำชะลอการปรับตัวขึ้นในช่วงท้ายของ สัปดาห์ อีกทั้งกระแสข่าวลือว่าอียูอาจเลื่อนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านยังเป็นอีก ปัจจัยหนึ่งที่กดดันราคาทองคำแม้ว่าจะมีการออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวในเวลา ต่อมา เบื้องต้นวายแอลจีประเมินว่าการการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์และการอ่อนตัว ลงของราคาน้ำมันจะสามารถกดดันราคาทองคำได้ในระยะสั้น แต่ด้วยความตึงเครียดของอิหร่านกับชาติตะวันตก และความกังวลต่อปัญหาหนี้ยุโรปจะเริ่มทำให้ทองคำถูกมองในฐานะสินทรัพย์ ปลอดภัยได้ในระยะต่อๆไป
       สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ วายแอลจีประเมินแนวรับสำคัญในบริเวณ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่แนวต้านสำคัญจะอยู่ในโซน 1,670 หรือ 1,695 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นการเข้าซื้อเมื่อย่อตัวลงมาและนักลงทุนต้องไม่ลืมที่จะตั้งจุดตัดขาดทุนและจุดขายทำกำไรให้ชัดเจน
***ฟิลลิปเชื่อ ราคาทองยังเป็นขาขึ้น
       นางสาวชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ นักวิเคราะห์ตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PST เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ราคาทองคำ ในระยะกลางยังเป็นทิสทางขาขึ้น แม้ว่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำในตลาดโลก จะปรับลดลงอย่างหนักถึง 16.90 ดอลลาร์/ออนซ์ก็ตาม แต่เนื่องจากสัญญาณเทคนิคของทองคำโลกยังยืนเหนือ 1,620 ดอลลาร์/ออนซ์ และถือว่ายังแข็งแกร่งกว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ แม้ว่าภาพรวมตลาดทุนทั่วโลกจะถูกกดดันจากปัญหาการถูกลดเครดิตในหลายๆ ประเทศทั่วยุโรป
       นอกจากนี้ปัจจัยที่คาดว่าจะยังคงทำให้ราคาทองคำในระยะกลางสามารถยืนเหนือระดับ 1,620 ดอลลาร์/ออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่งคือ ความต้องการทองในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปี ตามฤดูกาล และแรงซื้อที่จะมีเข้ามาในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจะมีเข้ามาเป็นประจำทุกปีเช่นเดียวกัน รวมถึงค่าเงินบาทที่เคลือ่นไวหในระดับอ่อนค่า เป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกต่อราคาทองคำในช่วงนี้เช่นกัน
*** ลุ้นจีนออกมาตรการผ่อนคลายการเงิน แต่ระวังหนี้กรีซลุกลาม
       บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่าปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อราคาทองคำและต้องติดตามในขณะนี้ ได้แก่ การประชุมผู้นำสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการจ้างงาน และการลดอัตราการว่างงานในวันพุธที่ 19 ม.ค. การคาดการณ์ว่าจีนอาจใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค.ปรับตัวลดลงเล็กน้อย การเข้าอัดฉีดเงินของธนาคารกลางยุโรป การประชุม FOMC หรือการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐในวันที่ 24 -25 ธ.ค.
       ส่วนปัจจัยลบในขณะนี้คือ ความกังวลในเรื่องที่ชาติในยุโรปถูกปรับลดอันดับเครดิตลง เมื่อ S&P ประกาศปรับลดอันดับเครดิตของ 9 ชาติในยุโรปไปแล้ว และสถาบันจัดอันดับเครดิตอื่นอาจมีการปรับลดอันดับเครดิตของชาติในยุโรปตามมาอีก ความล้มเหลวของกรีซในการเจรจาระหว่างกรีซกับธนาคารเจ้าหนี้เพื่อปรับลดหนี้ของกรีซ โดยกรีซเตือนว่า หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงในเรื่องการ swap พันธบัตรในเร็วๆ นี้อาจมีผลกระทบร้ายแรงได้
*** MTS คาด ก.พ.นี้มีลุ้นแตะ 1,750 เหรียญ
       นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าบรรยากาศซื้อทองคำในช่วงนี้ยังคึกคักแต่ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะราคาทองเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงติดต่อกันหลายวัน ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนจนถึงปัจจุบันราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 120 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมาจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุน
       โดยมองว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้มีโอกาสที่จะเห็นราคาทองโลกทดสอบระดับ 1,750 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาทองในประเทศจะอยู่ที่ระดับประมาณ 26,000 บาท จากการเก็งกำไรของนักลงทุนเพราะสินทรัพย์ทองคำยังเป็น Save Heaven ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวลง