จันทร์ 14 พ.ย.2554--eFinanceThai.com :
STEC พุงกางโค้ง3กำไรหรู -จ่อรับงานอื้อหลังน้ำลด

         STEC โชว์หรูกำไรโค้ง 3 ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 276.83 ลบ. โบรกฯประสานเสียงรับงานก่อสร้างหลังน้ำท่วมเพียบหลังมองปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งสุด ชู เป็น Top Pick ของกลุ่ม คาด Backlog มีโอกาสเติบโตสูงระดับ 6-8 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันสูงถึง 5.8 หมื่นล้านบาท ทิสโก้ แนะซื้อให้มูลค่าที่เหมาะสม 17 บาท ด้านฟิลลิป มองปีนี้มีลุ้นงานประมูลของรัฐ มูลค่าสูงกว่า 55 พันล้านบาท คาดรายได้ปีนี้โต 46% และ 65% ในปี 55
         บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) STEC หนึ่งผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสามปีนี้ออกมาน่าประทับใจ แถมคาดว่าจะมีงานเข้าหลังสถานการณ์น้ำท่วมอีกไม่ใช่น้อยในโครงการก่อสร้างต่างๆอีกมากมาย และจากผลงานที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าและโครงการอื่นๆ ถือเป็นการตอกย้ำแล้วว่า ระดับ STEC เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ
* เซียนหุ้น เชียร์ซื้อ STEC หลังผลงานQ3 แจ่ม คาดปีหน้ารายได้กระฉูด 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท
         นักวิเคราะห์จากบล.เอเซียพลัส ประเมินว่าคาดว่าผลประกอบการในปีหน้าของบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) จะเติบโตค่อนข้างดี ขณะที่ปีหน้าบริษัทฯยังมีงานประมูลอีกมาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่ง Backlog ยังไม่รวมรถไฟฟ้าสายสีแดง สัญญาที่ 1 ที่บริษัทฯชนะประมูลร่วมกับ UNIC ซึ่งมูลค่างานในส่วนของ STEC อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากรวมกับ Backlog เดิมก็จะทำให้ปีหน้าบริษัทฯมี Backlog กว่า 7 หมื่นล้านบาท
         โดยบริษัทฯประเมินว่ารายได้ในปีหน้าของ STEC น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีนี้ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท และหากประเมินมูลค่าทางพื้นฐานบน P/E 25 เท่า ก็จะได้ราคาที่เหมาะสมในปีหน้า 18.62 บาท จึงให้คำแนะนำซื้อ
* STEC โชว์กำไรโค้ง 3 ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 276.83 ลบ. ส่วน 9 เดือนโตกระฉูดเป็น 664.30 ลบ.
         บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) STEC รายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 มีผลกำไรสุทธิรวมในส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่เป็นจำนวนเงิน 276.84 ล้านบาทสำหรับไตรมาส และจำนวนเงิน 664.31 ล้านบาทสำหรับงวดเก้าเดือน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2553 มีผลกำไรสุทธิรวมในส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่เป็นจำนวนเงิน 118.06 ล้านบาทสำหรับไตรมาสและจำนวนเงิน 295.11 ล้านบาทสำหรับงวดเก้าเดือนตามลำดับ ซึ่งได้แสดงผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวนเงิน 158.77 ล้านบาทคิดเป็น 134.48% สำหรับไตรมาส และเป็นจำนวนเงิน 369.19 ล้านบาท คิดเป็น 125.10% สำหรับงวดเก้าเดือน บริษัทฯใคร่ขอชี้แจงสาเหตุดังนี้
         บริษัทฯและบริษัทย่อย มีกำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาสและงวดเก้าเดือนปี 2554 เป็นจำนวนเงิน 349.03 และ 946.33 ล้านบาทตามลำดับ ในขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นเป็นจำนวนเงิน 206.31 และ 575.79 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 142.73 ล้านบาท คิดเป็น 69.18% สำหรับไตรมาส และเป็นจำนวนเงิน 370.54 ล้านบาท คิดเป็น 64.35% สำหรับงวดเก้าเดือน เนื่องมาบริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากงานก่อสร้างเพิ่มมากขึ้นประกอบกับมีรายได้ของโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
* ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาด STEC รับงานก่อสร้างหลังน้ำท่วมเพียบ ชี้ ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งสุด ชู เป็น Top Pick ของกลุ่ม
         บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ได้คำนวณมูลค่าความเสียหายโดยรวม กรณีน้ำท่วมที่นิคมฯ อยุธยาสูงถึง 1 แสนล้านบาท ในระยะสั้นมีสิ่งก่อสร้างที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากที่จะต้องซ่อมแซม และบูรณาการหลังน้ำลด ไม่เพียงแต่ที่อยู่อาศัย แต่ปีนี้จะเป็นกรณีพิเศษ คือโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่-กลางต่างๆ เช่น ผลิตรถยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ เราประเมินว่าเฉพาะโรงงานที่อยุธยาและนวนครที่ปทุมธานี จะมีโรงงานที่มีความเสี่ยงว่าจะเสียหายรวมประมาณ 700 โรงงานหรือแม้แต่นิคมอุตสาหกรรมเอง ซึ่งจะมีระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนน โรงไฟฟ้า และโรงน้ำที่ใช้ในอุตสาหกรรม ส่วนในระยะยาว คาดว่าภาครัฐและเอกชนจะต้องเตรียมการป้องกันภาวะน้ำท่วมในปีต่อๆมาให้เป็น ระบบการจัดการน้ำแบบยั่งยืนกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการก่อสร้างโครงการกักเก็บน้ำ รับและระบายน้ำต่างๆ ให้มีประสิทธิผล เช่น การสร้างเขื่อนเพิ่มหรือ แก้มลิงเพิ่มเติม เป็นต้น งานก่อสร้างจะเพิ่มอีกมาก
         หลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์โดยตรงซึ่งสามารถทำงานก่อสร้างประเภทโรงงานอุตสาหกรรม และงานโยธาเกี่ยวกับสาธารณูปโภค และมีขนาดใหญ่ที่จะรองรับงานก่อสร้างได้ดี คือ ITD, CK, STEC และ NWR ส่วน SYNTEC, SEAFCO และ PLE ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ก่อสร้างขนาดเล็ก แม้ว่าลักษณะงานที่ทำในปัจจุบันจะไม่ตรงนัก แต่ก็สามารถทำงานประเภทวิศวกรรมโยธาได้เช่นกัน จึงคาดว่าจะประยุกต์รับงานบูรณะซ่อมแซมได้บางส่วน พิจารณาตาราง เราพบว่าหลักทรัพย์ที่มีส่วนต่างราคาปิดเทียบกับราคาพื้นฐานมากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ 1) CK 61% 2) SEAFCO 53% และ 3) PLE 48% รวมทั้งเราได้แจงรายละเอียดลักษณะงานก่อสร้างที่หลักทรัพย์เหล่านี้ได้ดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน จึงมีโอกาสที่จะเกิดการซื้อเก็งกำไร จากการตระหนักถึงเรื่องราวที่ดีของมูลค่างานก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นมากหลังน้ำท่วมได้ลดลง
         Top Pick ในหมวดผู้รับเหมาก่อสร้างคือ STEC เพราะ มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งสุดในหมวดผู้รับเหมาก่อสร้าง และฐานะการเงินดี เป็นเงินสดสุทธิ ส่วนปัจจัยลบของหลักทรัพย์หมวดผู้รับเหมาก่อสร้างคือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 55 เป็น 300 บาทต่อวัน ขณะที่การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากอัตราภาษีเงินได้ที่ 30% ลดลงเป็น 23% ในปี 55 เพื่อช่วยชดเชยกลับใช้ได้ไม่มาก เพราะปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้ขาดทุนสะสมมาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีเงินได้อยู่แล้ว (ยกเว้น STEC ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีเงินได้ในปี 55) แต่เราเห็นว่าราคาหุ้นหลักทรัพย์หมวดผู้รับเหมาก่อสร้างที่ปรับตัวลงลึกมาก่อนหน้านี้ได้สะท้อนข่าวลบไปพอสมควรแล้ว แต่ปัจจัยบวกในประเด็นประโยชน์ที่จะได้รับจากงานก่อสร้างที่จะเพิ่มขึ้นมากหลังภาวะน้ำท่วม ถือว่าเป็นประเด็นใหม่ที่ตลาดฯยังตอบรับน้อย ขณะที่หลักทรัพย์หมวดวัสดุก่อสร้างและตกแต่งที่จะได้ประโยชน์เรื่องน้ำท่วมเช่นกัน ได้ปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว
*โบรกฯ คาด Backlog มีโอกาสเติบโตสูงระดับ 6-8 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันสูงถึง 5.8 หมื่นล้านบาท
         บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า กำไรสุทธิ Q3/54 276 ล้านบาท เติบโต 25%QoQ และ 134%YoY ทำได้ดีกว่าคาด13% ผลประกอบการของ STEC ใน Q3/54 ยังคงตัวในระดับสูง ด้วยกำไรสุทธิ 276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134% YoY และ 25% QoQ จากรายได้จากการก่อสร้างและบริการที่เพิ่มขึ้น 4,270 ล้านบาท(+13%QoQ,+109%YoY ) จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สายสีน้ำเงิน รวมถึงงานอุโมงค์ งานถนน และ งานโรงไฟฟ้า ของกลุ่ม Dow Chemical และ Gulf JP โดยมีระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ทรงตัว 8.2% เทียบกับรายไตรมาส แต่ปรับลดเมื่อเทียบกับรายปีเนื่องจากใน Q3/53 มีรายได้ที่รับรู้จากโครงการ Pluto LPG Plant Module ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยบริษัทมีบันทึกรายได้อื่นๆเข้ามา 50 ล้านบาท รวมถึงกำไรจากการขายเงินลงทุน 21 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าคาด สำหรับผลประกอบการในงวด 9M/54กำไรสุทธิ 664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% YoY มาจากรายได้จากการก่อสร้างที่เติบโตถึง 91% YoY โดยมี รายได้อื่นๆ ที่ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180% สาเหตุจากบริษัทมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างมาก ทำให้ STEC ได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยรับค่อนข้างดี
         Backlog มีโอกาสเติบโตสูงระดับ 6-8 หมื่นล้านบาท ช่วยรองรับรายได้ในอนาคต Backlog ณ ปัจจุบันสูงถึง 5.8 หมื่นล้านบาท โดยงานหลักราว 60% เป็นงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีน้ำเงิน ส่วนโรงไฟฟ้ามีสัดส่วนประมาณ 35% ของ Backlog สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ซึ่งทางSTEC เป็น JV ร่วมกับ UNIQ มีสัดส่วนการถือหุ้น STEC 60% และ UNIQ 40% เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดที่ 3.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและตกลงเรื่องราคา คาดว่าจะทราบผลและมีโอกาสเซ็นสัญญาในช่วงปลายปี ซึ่งจะทำให้ STEC งานในมือเพิ่มสูงสุดจากที่เคยทำมาในระดับ 8 หมื่นล้านบาท
         ยังคงแนะนำ ซื้อ ราคาที่เหมาะสมปี 2555 ที่ 14.10บาท (อ้างอิง APBV 3 เท่า) จากการเป็น 1 ใน 3 ผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีโอกาสรับงานก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกขนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานรถไฟฟ้าและงานโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตามมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือการการมีแรงงานก่อสร้างที่เพียงพอ และราคาวัสดุก่อสร้างที่ค่อนข้างผันผวนในอนาคต รวมถึงการอ่อนตัวลงของผลประกอบการจากเหตุภาวะน้ำท่วมใน Q4/54
*ทิสโก้ แนะซื้อ STECให้มูลค่าที่เหมาะสม 17 บาท ชี้ น้ำท่วมจะกระทบผลประกอบการ 4Q54 แต่จะกลับมาเป็นประโยชน์ในปีหน้า
         บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ผลประกอบการ 3Q54 ของ STEC สูงกว่าที่เราคาด 24% เนื่องจากการรับรู้รายได้การก่อสร้างที่มากกว่าคาด เรายังคงแนะนำให้ “ซื้อ” เนื่องจากคาดว่ากำไรปีหน้ายังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง หลัก ๆ จากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นตามมูลค่างานในมือที่ขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประเมินมูลค่าเหมาะสม 17 บาท (PBV 4 เท่าปี 54F)
         STEC ประกาศกำไรสุทธิ 3Q54 ขยายตัวแข็งแกร่ง หลัก ๆ มาจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น 109% YoY และ 13% QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากงานในมือของบริษัทที่มีมากสุดเป็นประวัติการณ์ ผลประกอบการออกมาดี แม้ว่าอัตราส่วนกำไรขั้นต้นจะลดลงจาก 10.1% และ 8.6% ใน 3Q53 และ 2Q54 ตามลำดับ เป็น 8.2% ใน 3Q54 เนื่องจากการรับรู้รายได้การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
         เราคาดว่าผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมจะเริ่มชัดเจนขึ้นใน 4Q54 เนื่องจากบางโครงการของบริษัท อาทิ รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สายน้ำเงิน อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงัก อย่างไรก็ดี เราคาดว่าการก่อสร้างและการรับรู้รายได้จะกลับมาเร่งตัวเมื่อน้ำลด ถึงแม้ค่าใช้จ่ายของบริษัทมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ STEC ยังมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เราคาดว่า STEC จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมในระยะยาวของรัฐบาล
         ทั้งนี้ คงประมาณการเดิมและมูลค่าที่เหมาะสม 17 บาท อ้างอิงจาก P/BV 4 เท่าสำหรับปี 2554F ปัจจัยเสี่ยง คือต้นทุนที่สูงขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น, โครงการก่อสร้างใหม่ที่น้อยกว่าคาด, การแข่งขันที่สูงขึ้น, ความล่าช้าในการก่อสร้าง และความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจทำให้การเซ็นสัญญาใหม่ล่าช้าลง
* เคจีไอ มั่นใจ น้ำท่วมไม่ฉุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าล่าช้ากว่ากำหนด ให้ราคาเป้าหมาย STEC ที่14 บาท
         บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า ปัญหาน้ำท่วม จะสามารถแก้ไขได้ในที่สุดและคาดผลกระทบจากน้ำท่วม จะไม่ทำให้โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าล่าช้ากว่ากำหนด จากปัจจุบันที่มีความคืบหน้า 50.0-60.0% เพราะสามารถเร่งรัดงานก่อสร้างในอนาคตได้ ประเมินมูลค่างานในมือปัจจุบันของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างในประเทศต่างอยู่ในระดับสูง ประกอบกับงานก่อสร้างที่คาดจะเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากหลังน้ำลด ทำให้ยังคงระดับการลงทุนที่ มากกว่าตลาด
         โดยเลือก STEC เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม ราคาเป้าหมาย 14บาท (อนึ่ง ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญาที่ 1 คือ กลุ่มซีเคทีซี จอยท์เวนเจอร์ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตคิว คอนสตรัคชั่น จำกัด สัญญาที่ 2คือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และสัญญาที่ 3 คือ กลุ่มพีเออาร์ จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัทแอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท รวมนครก่อสร้าง (ประเทศไทย) จำกัด)
* บล.ฟิลลิป ชี้ปีนี้ STEC มีลุ้นงานประมูลของรัฐ มูลค่าสูงกว่า 55 พันล้านบาท คาดรายได้ปีนี้โต 46% และ 65% ในปี 55 แนะซื้อ
         บทวิเคราะห์ บล. ฟิลลิป ระบุว่า ล่าสุด STEC เซ็นงานโรงไฟฟ้ามูลค่า 8.7 พันล้านบาท เมื่อรวมกับงานสะพานต่างระดับ 377 ล้านบาทและงานสาธารณู ปโภคของโรงไฟฟ้า SPP 7 โรง มูลค่า 1.3 พันล้านบาท เป็นอันว่างานเซ็นใหม่สะสมปีนี้น่าจะไปแล้วกว่า 34 พันล้านบาท เทียบกับเป้า 42 พันล้านบาทแนวโน้มการได้งานดีมาก ทั้งนี้ยังมีลุ้นงาน ประมูลของรัฐบาลชุดนี้ที่จะเร่งกระบวนการประมูลปีนี้ได้ 3 สาย สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ,สายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี ,สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี Backlog ล่าสุดน่าจะมีมูลค่าสูงกว่า 55 พันล้านบาท เมื่อรวมกับการคาดหมายเซ็นงานปีหน้าอีก 3-4 หมื่นล้านบาท ทางฝ่ายคาดหมายรายได้เติบโตอย่างดีถึง 46% และ 65% ในปี 54 และ 55
         ทิศทางรายได้ยังไปได้ดี เพียงแต่มาตรการรัฐฯที่ขึ้นค่าแรงจะทำให้ต้นทุนค่าแรงเพิ่ม ทางฝ่ายคาดหมาย Margin ปี 55 ลดลงเหลือ 7% จาก 8% ในปี 54 ทั้งนี้ เชื่อว่าทางการจะมีมาตรช่วงเหลือผลลบจากค่าแรงปรับขึ้นใหม่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ก่อสร้างโครงการลงทุนของภาครัฐฯ ทำให้ผลดีจากรายได้จะผลักดันกำไรปี 54 และ 55 เติบโต44% และ 37%
         แม้ราคาหุ้นจะซบเซาเพราะไม่มีปัจจัยเร่ง และยังกังวลเรื่องค่าแรงที่มีนโยบายปรับขึ้น แต่ Valuation PBV ปี 55 ลดลงมาจาก 3 เท่าเหลือ 2.2 เท่า โดยทางฝ่ายเชื่อว่า ภาครัฐอาจมีมาตรการมาผ่อนภาระต้นทุนค่าแรงด้วย ทางฝ่ายเชื่อว่าใน 2H54 จะมีความคืบหน้ากำหนดเวลาประมูลรถไฟฟ้ามากขึ้น และน่าจะมี แรงเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มรับเหมา ขณะที่ STECเป็นผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงการเงินต่ำ จึงจะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจอันดับต้น ทางฝ่ายแนะนำ “ซื้อ” เพื่อเก็งกำไรประมูลรถไฟฟ้ารอบใหม่ใน 2H54 ราคาพื้นฐาน 14 บาท